คู่มือแนวทางปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี สารบัญ หน้า คู่มือการปฏิบัติงานตามภารกิจหลักสำนักปลัด กระบวนการ การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น บทที่ 1 บทนำ หลักการและเหตุผล 1 วัตถุประสงค์ 2 ประโยชน์การจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน 2 - 3 ความหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 - 6 บทที่ 2 สภาพทั่วไปและข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของตำบล สภาพทั่วไปของตำบลขุนพิทักษ์และข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของตำบล 7 - 8 ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของท้องถิ่น 9 ศักยภาพของชุมชนในพื้นที่ 10 บทที่ 3 การปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก ความหมายมาตรฐานการปฏิบัติงาน 16 วัตถุประสงค์ 17 ประโยชน์ของมาตรฐานการปฏิบัติงาน 17 - 19 โครงสร้างส่วนราชการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ 19 - 24 การปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก/กระบวนงาน 25 - 28 คู่มือแผนการปรับลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 29 แนวทางการดำเนินงาน 35 - 37 ประโยชน์ของแผนพัฒนาสามปี 38 ระบบติดตามและประเมินผล 39 - 40 บทที่ 4 ระบบการป้องกัน/การตรวจสอบเพื่อป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจหลัก ระบบการป้องกัน/การตรวจสอบเพื่อป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจหลัก 41 - 52 สารบัญ หน้า บทที่ 4 ระบบการป้องกัน/การตรวจสอบเพื่อป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจหลัก - ระเบียบ/ข้อบังคับ ที่บังคับใช้ต่อผู้ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 45 ¬- ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองท้องถิ่นฝ่ายบริหาร 46 องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ พ.ศ. 2558 - ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองท้องถิ่นฝ่ายสภาท้องถิ่น 47 องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ พ.ศ. 2558 - ประมวลจริยธรรมของข้าราชการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ พ.ศ. 2558 47 - ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ว่าด้วยจรรยาข้าราชการ 48 องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ - พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 50 - 54 - มาตรฐานควบคุมการปฏิบัติงาน 54 - 56 บทที่ 1 บทนำ หลักการและเหตุผล จากบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 6 พ.ศ. 2552 ส่วนที่ 3 เรื่อง อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล มาตรา 66 องค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาตำบล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และมาตรา 67 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย องค์การบริหารส่วนตำบล มีหน้าที่ต้องทำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล 1. จัดให้มี และบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก 2. รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล 3. ป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ 4. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 5. ส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 6. ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ 7. คุ้มครองดูแล และบำรุงรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8. บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญหาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 9. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ราชการมอบหมาย โดยจัดสรรงบประมาณ หรือบุคลากรให้ตามความจำเป็นและสมควร ตามบทบาทภารกิจของส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 6 พ.ศ. 2552 พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ประกอบกับหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0892.4/ว 435 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 กำหนดแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นวัดผลการบริหารและปฏิบัติราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทราบผลสัมฤทธิ์ตรงตามเป้าหมายภารกิจ โดยจัดทำคู่มือกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานขององค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ มีเป้าประสงค์ในการนำมาตรการปฏิบัติงานตามภารกิจหลักที่ได้มาใช้ในการปรับปรุง แก้ไข ส่งเสริม พัฒนา ขยายหรือยุติการดำเนินการซึ่งบ่งชี้ว่ากระบวนการวิธีการจัดทำแผนหรือโครงการนั้นผลเป็นอย่างไร นำไปสู่ความสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมายวัตถุประสงค์หรือไม่ เพียงใด คู่มือการปฏิบัติงาน (Operating Manual) เป็นเครื่องมือที่สำคัญประการหนึ่งในการทำงานทั้งกับหัวหน้างานและผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงาน จัดทำขึ้นไว้เพื่อจัดทำรายละเอียดของการทำงานในหน่วยงานออกมาเป็นระบบและครบถ้วน คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) • เปรียบเสมือนแผนที่บอกเส้นทางการทำงานที่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของกระบวนการ • ระบุถึงขั้นตอนและรายละเอียดของกระบวนการต่าง ๆ ขององค์กรและวิธีควบคุมกระบวนการนั้น • มักจัดทำขึ้นสำหรับลักษณะงานที่ซับซ้อน มีหลายขั้นตอนและเกี่ยวข้องกับคนหลายคน • สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงาน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้หัวหน้าหน่วยงานได้มีโอกาสทบทวนภาระหน้าที่ของหน่วยงานของตนว่ายังคงมุ่งต่อจุดสำเร็จขององค์การโดยสมบูรณ์อยู่หรือไม่ เพราะจากสภาพการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอาจทำให้หน่วยงานต้องให้ความสำคัญแก่ภาระบางอย่างมากยิ่งขึ้น 2. เพื่อให้หัวหน้าหน่วยงานจัดทำ/กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานหรือจุดสำเร็จของการทำงานของแต่ละงานออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้การทำงานเกิดประโยชน์ต่อองค์การโดยส่วนรวมสูงสุด และเพื่อใช้มาตรฐานการทำงาน/จุดสำเร็จของงานนี้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานต่อไปด้วย 3. เพื่อให้การปฏิบัติงานในปัจจุบันเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบความคาดหวังอย่างชัดแจ้งว่า การทำงานในจุดนั้น ๆ ผู้บังคับบัญชาจะวัดความสำเร็จของการทำงานในเรื่องใดบ้าง ซึ่งย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปรับวิธีการทำงานและเป้าหมายการทำงานให้ตรงตามที่หน่วยงานต้องการได้และส่งผลให้เกิดการยอมรับผลการประเมินฯ มากยิ่งขึ้น เพราะทุกคนรู้ล่วงหน้าแล้วว่าทำงานอย่างไรจึงจะถือได้ว่ามีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับนโยบาย วิสัยทัศน์ ภารกิจและเป้าหมายขององค์กร เพื่อให้หัวหน้าหน่วยงานสามารถมองเห็นศักยภาพของพนักงาน เนื่องจากการทำงานทุกหน้าที่มีจุดวัดความสำเร็จที่แน่นอนเด่นชัด หัวหน้างานจึงสามารถใช้ทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ของการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน ประโยชน์ของคู่มือการปฏิบัติงานที่มีต่อองค์กรและผู้บังคับบัญชา 1. การกำหนดจุดสำเร็จและการตรวจสอบผลงานและความสำเร็จของหน่วยงาน 2. เป็นข้อมูลในการประเมินค่างานและจัดชั้นตำแหน่งงาน 3. เป็นคู่มือในการสอนงาน 4. การกำหนดหน้าที่การงานชัดเจนไม่ซ้ำซ้อน 5. การควบคุมงานและการติดตามผลการปฏิบัติงาน 6. เป็นคู่มือในการประเมินผลการปฏิบัติงาน 7. การวิเคราะห์งานและปรับปรุงงาน 8. ให้ผู้ปฏิบัติงานศึกษางานและสามารถทำงานทดแทนกันได้ 9. การงานแผนการทำงาน และวางแผนกำลังคน 10. ผู้บังคับบัญชาได้ทราบขั้นตอนและสายงานทำให้บริหารงานได้ง่ายขึ้น 11. สามารถแยกแยะลำดับความสำคัญของงาน เพื่อกำหนดระยะเวลาทำงานได้ 12. สามารถกำหนดคุณสมบัติของพนักงานใหม่ที่จะรับได้ง่ายขึ้นและตรงมากขึ้น 13. ทำให้บริษัทสามารถปรับปรุงระเบียบแบบแผนการทำงานให้เหมาะสมยิ่งขึ้นได้ 14. ยุติความขัดแย้งและเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการประสานระหว่างหน่วยงาน 15. สามารถกำหนดงบประมาณและทิศทางการทำงานของหน่วยงานได้ 16. เป็นข้อมูลในการสร้างฐานข้อมูลของบริษัทต่อไปนี้ 17. การศึกษาและเตรียมการในการขยายงานต่อไปนี้ 18. การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายกับผลงานและปริมาณกำลังคนของหน่วยงานได้ 19. ผู้บังคับบัญชาบริหารงานได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น 20. เกิดระบบการบริหารงานโดยส่วนร่วมสำหรับผู้บังคับบัญชาคนใหม่ในการร่วมกันเขียนคู่มือ ประโยชน์ของคู่มือการปฏิบัติงานที่มีต่อผู้ปฏิบัติงาน 1. ได้รับทราบภาระหน้าที่ของตนเองชัดเจนยิ่งขึ้น 2. ได้เรียนรู้งานเร็วขึ้นทั้งตอนที่เข้ามาทำงานใหม่/หรือผู้บังคับบัญชาที่มีต่อตนเองชัดเจน 3. ได้ทราบความหวัง (Expectation) ของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อตนเองชัดเจน 4. ได้รับรู้ว่าผู้บังคับบัญชาจะใช้อะไรมาเป็นตัวประเมินผลการปฏิบัติงาน 5. ได้เข้าใจระบบงานไปในทิศทางเดียวกันทั้งหน่วยงาน 6. สามารถช่วยเหลืองานซึ่งกันและกันได้ 7. เข้าใจหัวหน้างานมากขึ้น ทำงานด้วยความสบายใจ 8. ไม่เกี่ยงงานกัน รู้หน้าที่ของกันและกันทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกัน 9. ได้ทราบจุดบกพร่องของงานแต่ละขั้นตอนเพื่อนำมารปรับปรุงงานได้ 10. ได้เรียนรู้งานของหน่วยงานได้ทั้งหมด ทำให้สามารถพัฒนางานของตนเองได้ 11. มีขั้นตอนในการทำงานที่แน่นอน ทำให้การทำงานได้ง่ายขึ้น 12. รู้จักวางแผนการทำงานเพื่อให้ผลงานออกมาตามเป้าหมาย 13. สามารถใช้เป็นแนวทางเพื่อการวิเคราะห์งานให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา 14. สามารถแบ่งเวลาให้กับงานต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 15. รู้ขอบเขตสายการบังคับบัญชาทำงานให้การประสานงานง่ายขึ้น 16. ได้เห็นภาพรวมของหน่วยงานต่าง ๆ ในฝ่ายงานเดียวกันเข้าใจงานมากขึ้น 17. สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะมีสิ่งที่อ้างอิง 18. ได้รับรู้ว่าตนเองต้องมีการพัฒนาอะไรบ้างเพื่อให้ได้ตามคุณสมบัติที่ต้องการ 19. ได้เรียนรู้และรับทราบว่าเพื่อนร่วมงานทำอะไร เข้าใจกันและกันมากขึ้น 20. ได้รับรู้ว่างานที่ตนเองทำอยู่นั้นสำคัญต่อหน่วยงานอย่างไร เกิดความภาคภูมิใจ ความหมายองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล มีชื่อย่อเป็นทางการว่า อบต.มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจนถึงฉบับที่ 6 พ.ศ. 2552 โดยยกฐานะจากสภาตำบลที่มีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณที่ล่วงมาติดต่อกันสามปีเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท (ปัจจุบัน ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 มีองค์การบริหารส่วนตำบล ทั้งสิ้น 5,335 แห่ง) รูปแบบองค์การ องค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วย สภาองค์การบริหารส่วนตำบล และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล 1. สภาองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วยสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวนหมู่บ้านละสองคน ซึ่งเลือกตั้งขึ้นโดยราษฎร์ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละหมู่บ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนั้น กรณีที่เขตองค์การบริหารส่วนตำบลใดมีเพียงหนึ่งหมู่บ้านให้มีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลจำนวนหกคน และในกรณีมีเพียงสองหมู่บ้านให้มีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล หมู่บ้านละสามคน 2. องค์การบริหารส่วนตำบลมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบล หนึ่งคน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง การเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น การบริหาร กฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการบริหาร อบต. (ม.58) ประกอบด้วยนายกองค์การบริหารส่วนตำบล 1 คน และให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแต่งตั้งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2 คน ซึ่งเรียกว่า ผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลหรือผู้บริหารท้องถิ่น อำนาจหน้าที่ของ อบต. อบต.มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542) 1. พัฒนาตำบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (มาตรา 66) 2. มีหน้าที่ต้องทำตามมาตรา 67 ดังนี้ - จัดให้มีและบำรุงทางน้ำและทางบก - การรักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัด ขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล - ป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ - ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย - ส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม - ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุและพิการ - คุ้มครอง ดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น - ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมาย 3. มีหน้าที่ที่อาจทำกิจกรรมในเขต อบต.ตามมาตรา 68 ดังนี้ - ให้มีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคและการเกษตร - ให้มีและบำรุงไฟฟ้าหรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น - ให้มีและบำรุงรักษาทางระบายน้ำ - ให้มีและบำรุงสถานที่ประชุม การกีฬา การพักผ่อนหย่อนใจและสวนสาธารณะ - ให้มีและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกร และกิจการสหกรณ์ - ส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมในครอบครัว - บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพ - การคุ้มครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน - หาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของ อบต. - ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือ และท่าข้าม - กิจการเกี่ยวกับการพาณิชย์ - การท่องเที่ยว - การผังเมือง อำนาจหน้าที่ตามแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ อบต.มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา 16 ดังนี้ 1. การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง 2. การจัดให้มี และบำรุงรักษาทางบกทางน้ำ และทางระบายน้ำ 3. การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม และที่จอดรถ 4. การสาธารณูปโภคและการก่อสร้างอื่น ๆ 5. การสาธารณูปการ 6. การส่งเสริม การฝึก และการประกอบอาชีพ 7. คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 8. การส่งเสริมการท่องเที่ยว 9. การจัดการศึกษา 10. การสังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส 11. การบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 12. การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัด และการจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย 13. การให้มี และบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 14.การส่งเสริมกีฬา 15. การส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพของประชาชน 16. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรการพัฒนาท้องถิ่น 17. การรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 18. การกำจัดมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และน้ำเสีย 19. การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล 20. การให้มี และควบคุมสุสาน และการรักษาพยาบาล 21. การควบคุมการเลี้ยงสัตว์ 22. การจัดให้มี และควบคุมการฆ่าสัตว์ 23. การรักษาความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัย โรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่น ๆ 24. การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 25. การผังเมือง 26. การขนส่ง และการวิศวกรรมจราจร 27. การดูแลรักษาที่สาธารณะ 28. การควบคุมอาคาร 29. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 30. การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกิจอื่นใด ที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด บทบาทหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บทบาทภารกิจตามพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 จากบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ส่วนที่ 3 เรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล มาตรา 66 กำหนดให้ "องค์การบริหารส่วนตำบล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม" ซึ่งถือได้ว่า เป็นกรอบภาระหน้าที่หลักของ อบต. เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น มาตรา 289 บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ย่อมมีหน้าที่บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น" และ "องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ย่อมมีสิทธิที่จะจัดการศึกษาอบรมของรัฐ..." นอกจากนี้ มาตรา 290 ยังได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในเขตพื้นที่ตน เพื่อการส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้น กรอบภาระหน้าที่ของ อบต. จึงครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ (รวมถึงการส่งเสริมอาชีพ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน และอื่น ๆ) ด้านสังคม และวัฒนธรรม (รวมถึงการสาธารณสุข การส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การศึกษาอบรม ศิลปะจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และอื่น ๆ ) ซึ่งปรากฏอยู่ในบทบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารตำบล พ.ศ.2537 โดยกำหนดเป็นภารกิจหน้าที่ที่ต้องทำ และอาจทำ 1. องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาตำบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (มาตรา 66) 2. องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มีหน้าที่ต้องทำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล ดังต่อไปนี้ (มาตรา 67) (1) จัดให้มีและบำรุงรักษาทางน้ำ (2) การรักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล (3) ป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ (4) ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (5) ส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (6) ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุและพิการ (7) คุ้มครอง ดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (8) บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น (9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมายโยจัดสรรงบประมาณหรือบุคลากรให้ตามความจำเป็นและสมควร (ความเดิมในมาตรา 68 (8) ถูกยกเลิกและใช้ข้อความใหม่แทนแล้ว โดยมาตรา 14 และเพิ่มเติม (9) โดยมาตรา 15 ของ พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ตามลำดับ) 3. องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อาจทำให้เขตองค์การบริหารส่วนตำบล ดังต่อไปนี้ (มาตรา 68) (1) ให้มีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคและการเกษตร (2) ให้มีและบำรุงไฟฟ้าหรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น (3) ให้มีและบำรุงรักษาทางระบายน้ำ (4) ให้มีและบำรุงสถานที่ประชุม การกีฬา การพักผ่อนหย่อนใจและสวนสาธารณะ (5) ให้มีและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกร และกิจการสหกรณ์ (6) ส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมในครอบครัว (7) บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพ (8) การคุ้มครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (9) หาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของ อบต. (10) ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือ และท่าข้าม (11) กิจการเกี่ยวกับการพาณิชย์ (12) การท่องเที่ยว (13) การผังเมือง (ความเดิมในมาตรา 68 (12) และ (13) เพิ่มเติมโดยมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 บทที่ 2 สภาพทั่วไปและข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของตำบล ............................................................... 1.ด้านกายภาพ 1.1 ที่ตั้ง ตำบลขุนพิทักษ์ ตั้งอยู่เลขที่ 97 หมู่ที่ 4 ตำบลขุนพิทักษ์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหนึ่งในจำนวน 13 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี อยู่ห่างจากอำเภอดำเนินสะดวกประมาณ 7 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากจังหวัดราชบุรีประมาณ 54 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 13.76 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 8,600 ไร่ โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับ เทศบาลศรีดอนไผ่ และ อบต.ดอนไผ่ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ทิศใต้ ติดกับ อบต.ดอนมะโนรา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ทิศตะวันออก ติดกับ อบต.โรงเข้ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ทิศตะวันตก ติดกับ อบต.ตาหลวง อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 1.2 ลักษณะภูมิประเทศ ตำบลขุนพิทักษ์มีพื้นที่เป็นที่ลุ่ม มีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดปี มีลำคลองดำเนินสะดวกเป็นแหล่งน้ำหลัก เหมาะแก่การเพาะปลูก ประชาชนส่วนใหญ่ปลูกบ้านเรือนตามริมคลอง และถนนสายขุนพิทักษ์ - บ้านรางห้าตำลึง 1.3 ลักษณะภูมิอากาศ มี 3 ฤดู คือ ฤดูฝน จากเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม ฤดูหนาว จากเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคม ฤดูร้อน จากเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน 1.4 ลักษณะของดิน ลักษณะของดินในพื้นที่เป็นดินร่วน และดินเหนียว เหมาะแก่การเพาะปลูกผลไม้ 1.5 ลักษณะของแหล่งน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ - ลำคลองสาธารณะ 20 สาย แหล่งน้ำที่สร้างขึ้น - ประปาหมู่บ้าน 9 แห่ง - บ่อน้ำบาดาล 11 แห่ง 2. ด้านการเมืองการปกครอง 2.1 เขตการปกครอง ตำบลขุนพิทักษ์ ประกอบด้วย 9 หมู่บ้าน ดังนี้ หมู่ที่ 1 บ้านคลอง หมู่ที่ 2 บ้านดอนสะแก หมู่ที่ 3 บ้านคลองเม็ง หมู่ที่ 4 บ้านหนองปลาเล็ก หมู่ที่ 5 บ้านดอนฟักทอง หมู่ที่ 6 บ้านศาลไต้เซีย หมู่ที่ 7 บ้านรางห้าตำลึง หมู่ที่ 8 บ้านคลองสุวรรณพันเละ หมู่ที่ 9 บ้านคลองขุนพิทักษ์ 2.2 การเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ประกอบด้วยการปกครองท้องที่ 9 หมู่บ้าน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 18 คน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 1 คน และรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2 คน และเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล 1 คน ไม่มีความขัดแย้งในการติดต่อประสานงานระหว่างท้องถิ่นกับท้องที่ ซึ่งประชาชนตำบลขุนพิทักษ์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและให้ความสำคัญกับประชาคมหมู่บ้าน ประชาคมตำบลและการมีส่วนร่วมของประชาชน 3. ประชากร 3.1 ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนประชากร ประชากรทั้งสิ้น 6,999 คน แยกเป็น ชาย 3,373 คน หญิง 3,626 คน ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรของตำบลขุนพิทักษ์ตามทะเบียนราษฎร์ หมู่ที่ ชื่อหมู่บ้าน ประชากร (คน) จำนวนครัวเรือน ชาย หญิง รวม 1 บ้านคลอง 409 464 873 299 2 บ้านดอนสะแก 239 250 489 169 3 บ้านคลองเม็ง 383 422 805 282 4 บ้านหนองปลาเล็ก 215 214 429 111 5 บ้านดอนฟักทอง 456 483 939 262 6 บ้านศาลไต้เซีย 464 479 943 211 7 บ้านรางห้าตำลึง 677 733 1,410 361 8 บ้านคลองสุวรรณพันเละ 349 393 742 200 9 บ้านคลองขุนพิทักษ์ 181 188 369 113 รวม 3,373 3,626 6,999 2,008 3.2 ช่วงอายุและจำนวนประชากร ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน 35 - 55 ปี 4. สภาพทางสังคม 4.1 การศึกษา - โรงเรียนประถมศึกษา 1 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบ้านดอนฟักทอง หมู่ที่ 9 จำนวนนักเรียนประมาณ 52 คน จำนวนครู 6 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2559) - ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนบ้านดอนฟักทอง จำนวนนักเรียนประมาณ 15 คน จำนวนครู 1 คน - ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน 2 แห่ง 4.2 การสาธารณสุข - โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลขุนพิทักษ์ มีจำนวน 2 แห่ง ดังนี้ 1. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลขุนพิทักษ์ ตั้งอยู่ หมู่ที่ 4 ต.ขุนพิทักษ์ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ผู้ใช้บริการเฉลี่ยประมาณ 25 คน/วัน 2. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านรางห้าตำลึง ตั้งอยู่ หมู่ที่ 7 ต.ขุนพิทักษ์ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ผู้ใช้บริการเฉลี่ยประมาณ 20 คน/วัน - แพทย์ประจำตำบล - หมอแผนไทย - อาสาสมัครสาธารณสุขตำบลขุนพิทักษ์ (อสม.) 92 คน - ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานประจำหมู่บ้าน 9 แห่ง 4.3 การสังคมสงเคราะห์ ข้อมูลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยเอดส์ที่ขึ้นทะเบียนรับเบี้ยของ อบต.ขุนพิทักษ์ จำนวนผู้สูงอายุ จำนวน 1,160 คน จำนวนผู้พิการ หรือทุพพลภาพ 145 คน จำนวนผู้ป่วยเอดส์ 9 คน 4.4 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน - ศูนย์กู้ชีพกู้ภัยตำบลขุนพิทักษ์ บริการ 25 ชั่วโมง - ป้อมสายตรวจตำบลขุนพิทักษ์ จำนวน 1 แห่ง เจ้าหน้าที่ประจำ 2 นาย - อปพร. ให้การบริการทุกเรื่องที่เดือนร้อน อีก 50 นาย 5. ระบบบริการพื้นฐาน 5.1 การคมนาคมขนส่ง มีถนนสายหลักคือ สายขุนพิทักษ์ - บ้านรางห้าตำลึง เป็นถนนลาดยาง มีสภาพดี ไม่มีรถโดยสารประจำทาง เนื่องจากส่วนใหญ่ทุกบ้านมีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ กันเกือบหมดทำให้ไม่มีเอกชนรายใดซื้อสัมปทานการเดินรถภายในตำบล ตำบลขุนพิทักษ์มีถนนเชื่อมต่อทุกหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ยังเป็นถนนลูกรัง การเดินทางไป อำเภอดำเนินสะดวก ใช้ถนนสาย บางแพ - สมุทรสงคราม สามารถเดินทางได้โดยสะดวก 5.2 การไฟฟ้า ตำบลขุนพิทักษ์ มีไฟฟ้าเข้าถึงทุกหมู่บ้าน จำนวน 9 หมู่บ้าน ครอบคลุมทุกครัวเรือน ประชากรที่ใช้ไฟฟ้า จำนวน 1,888 หลังคาเรือน 5.3 การประปา ประปาหมู่บ้าน 9 แห่ง 5.4 โทรศัพท์ ไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ ส่วนใหญ่ประชาชนใช้โทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์บ้านในการติดต่อสื่อสาร 5.5 ไปรษณีย์หรือการสื่อสาร ไปรษณีย์ที่ใกล้ที่สุด ได้แก่ ไปรษณีย์ดำเนินสะดวก 6.ระบบเศรษฐกิจ 6.1 การเกษตร ประชากรในตำบลขุนพิทักษ์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ ทำสวนผลไม้ เช่น องุ่น ชมพู่ ฝรั่ง มะพร้าว ฯลฯ และ ทำสวนผัก 6.2 การบริการ - รีสอร์ทในพื้นที่ จำนวน 2 แห่ง - โรงแรมในพื้นที่ จำนวน 1 แห่ง - ร้านบริการทำผม เสริมสวย ในพื้นที่ จำนวน 8 แห่ง - ร้านนวดแผนโบราณ จำนวน 2 แห่ง 6.3 การท่องเที่ยว - ปางช้าง (สถานที่แสดงโชว์ช้าง) 6.4 อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น ผลิตน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลสด วุ้นมะพร้าว เป็นต้น 6.5 การพาณิชย์และกลุ่มอาชีพ หน่วยธุรกิจในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล - โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก 1 แห่ง - สำนักงานตัวแทนประกันชีวิต 1 แห่ง - สถานบริการ 7 แห่ง - ร้านค้า 29 แห่ง กลุ่มมวลชนจัดตั้ง - ลูกเสือชาวบ้าน 1 รุ่น 500 คน - อปพร. 1 รุ่น 50 คน - กลุ่มสตรีอาสา 1 กลุ่ม 92 คน - กลุ่มบทบาทสตรีอาสา 1 กลุ่ม 632 คน - กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ (กองบุญสวัสดิการชุมชน) 1 กลุ่ม 2,000 คน - ชมรมผู้สูงอายุ 1 กลุ่ม 500 คน - อสม. 1 กลุ่ม 92 คน 6.6 แรงงาน ราษฎรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 ประกอบอาชีพทำการเกษตรกรรม ได้แก่ ทำสวนผลไม้ รองลงมาคือ อาชีพรับจ้างทั่วไปและค้าขาย 7.เศรษฐกิจพอเพียงท้องถิ่น 7.1 ข้อมูลด้านการเกษตร ราษฎรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 ประกอบอาชีพทำการเกษตรกรรมได้แก่ สวนชมพู่ ฝรั่ง มะพร้าว มะนาว ฯลฯ (๑) หมู่บ้านคลอง หมู่ที่ ๑ มีพื้นที่ทั้งหมด 1,114 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ •นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน มะพร้าว . 34 ครัวเรือน 303 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน มะนาว . 12 ครัวเรือน 83 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ชมพู่ . 8 ครัวเรือน 44 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ฝรั่ง . 3 ครัวเรือน 57 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 527 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ (๒) หมู่บ้านดอนสะแก หมู่ที่ 2 ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ •นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน ผัก . 4 ครัวเรือน 35 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ผลไม้ . 30 ครัวเรือน 156 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ไม้ยืนต้น . 15 ครัวเรือน 181 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 269 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ มีพื้นที่ทั้งหมด 784 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ (๓) หมู่บ้าน คลองเม็ง หมู่ที่ 3 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,203 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน พืชผัก . 4 ครัวเรือน 35 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ผลไม้ . 30 ครัวเรือน 156 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ไม้ยืนต้น . 15 ครัวเรือน 181 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 831 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน ไม้ผล . 24 ครัวเรือน 224 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ไม้ยืนต้น . 25 ครัวเรือน 195 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 419 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ (๔) หมู่บ้านหนองปลาเล็ก หมู่ที่ 4 มีพื้นที่ทั้งหมด 838 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ (๕) หมู่บ้านดอนฟักทอง หมู่ที่ 5 มีพื้นที่ทั้งหมด 993 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน พืชผัก . 2 ครัวเรือน 18 ไร่ 1,000 กก./ไร่ 1,000 บาท/ไร่ 1,000 บาท/ไร่ สวน ไม้ผล . 33 ครัวเรือน 303 ไร่ 1,000 กก./ไร่ 1,000 บาท/ไร่ 1,000 บาท/ไร่ สวน ไม้ยืนต้น . 23 ครัวเรือน 287 ไร่ 1,000 กก./ไร่ 1,000 บาท/ไร่ 1,000 บาท/ไร่ สวน . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ 8,000 บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 385 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ (๖) หมู่บ้านศาลไต้เซีย หมู่ที่ 6 มีพื้นที่ทั้งหมด 732 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน มะนาว . 23 ครัวเรือน 260 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ฝรั่ง . 11 ครัวเรือน 88 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ชมพู่ . 11 ครัวเรือน 71 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน มะพร้าว . 18 ครัวเรือน 187 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ 8,000 บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 126 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ (7) หมู่บ้านรางห้าตำลึง หมู่ที่ 7 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,812 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน องุ่น . 2 ครัวเรือน 50 ไร่ 2,000 กก./ไร่ 30,000 บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน มะนาว . 10 ครัวเรือน 150 ไร่ 2,500 กก./ไร่ 20,000 บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ชมพู่ . 5 ครัวเรือน 30 ไร่ 2,000 กก./ไร่ 15,000 บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ละมุด . 5 ครัวเรือน 30 ไร่ 1,800 กก./ไร่ 12,000 บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน มะพร้าว . 30 ครัวเรือน 600 ไร่ 500 ลูก /ไร่ 5,000 บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่  อื่นๆ โปรดระบุ พืชล้มลุก . 20 ครัวเรือน 50 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 902 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ (8) หมู่บ้านสุวรรณพันเละ หมู่ที่ 8 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,004 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน มะพร้าว . ครัวเรือน 280 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ฝรั่ง . ครัวเรือน 160 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน ชมพู่ . ครัวเรือน 80 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ สวน มะนาว . ครัวเรือน 30 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ 8,000 บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ ผัก . ครัวเรือน 454 ไร่ 1,000 กก./ไร่ 5,000 บาท/ไร่ 1,000 บาท/ไร่ (9) หมู่บ้านคลองขุนพิทักษ์ หมู่ที่ 9 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,037 ไร่ ทำการเกษตร ดังนี้ ประเภทของการทำการเกษตร จำนวน ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (บาท/ไร่) ราคาขายโดยเฉลี่ย (บาท/ไร่) 2.1) ทำนา • ในเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • นอกเขตชลประทาน ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.2) ทำสวน สวน ชมพู่ . ครัวเรือน 117 ไร่ 1,000 กก./ไร่ 5,000 บาท/ไร่ โลละ 25 บาท/ไร่ สวน ฝรั่ง . 7 ครัวเรือน 70 ไร่ 500 กก./ไร่ 5,000 บาท/ไร่ โลละ 18 บาท/ไร่ สวน มะนาว . 8 ครัวเรือน 60 ไร่ กก./ไร่ 100,000 บาท/ไร่ ลูกละ 4 บาท/ไร่ สวน มะพร้าวน้ำหอม . 17 ครัวเรือน 240 ไร่ กก./ไร่ 980 บาท/ไร่ ลูกละ 8 บาท/ไร่ สวน ผัก . 5 ครัวเรือน 30 ไร่ 100 กก./ไร่ 3,000 บาท/ไร่ 3,000 บาท/ไร่ 2.3) ทำไร่ • ไร่อ้อย ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่ข้าวโพด ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • ไร่มันสำปะหลัง ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ • อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 2.4) อื่นๆ  อื่นๆ โปรดระบุ . ครัวเรือน 520 ไร่ กก./ไร่ บาท/ไร่ บาท/ไร่ 7.2 ข้อมูลด้านแหล่งน้ำการเกษตร ทรัพยากรน้ำ มีคุณภาพดี เพียงพอต่อความต้องการ ในการเกษตร (๑) หมู่บ้านคลอง หมู่ที่ ๑ มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (2) หมู่บ้านดอนสะแก หมู่ที่ 2 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (3) หมู่บ้านคลองเม็ง หมู่ที่ 3 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (4) หมู่บ้าน หนองปลาเล็ก หมู่ที่ 4 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (5) หมู่บ้าน ดอนฟักทอง หมู่ที่ 5 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (6) หมู่บ้าน ศาลไต้เซีย หมู่ที่ 6 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (7) หมู่บ้านคลอง หมู่ที่ 7 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (8) หมู่บ้านคลองสุวรรณพันเละ หมู่ที่ 8 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . (9) หมู่บ้านคลองขุนพิทักษ์ หมู่ที่ 9 มีแหล่งน้ำทางการเกษตร ดังนี้ แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ความเพียงพอของปริมาณน้ำฝนที่ใช้ในการทำการเกษตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา (มิลลิเมตร) กรณีที่ทราบโปรดระบุ เพียงพอ ไม่เพียงพอ 3.1) ปริมาณน้ำฝน  แหล่งน้ำ ทางการเกษตร ลำดับ ความสำคัญ ความเพียงพอของน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดทั้งปี การเข้าถึงแหล่งน้ำการเกษตร เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงฯ 3.2) แหล่งน้ำธรรมชาติ • 1. แม่น้ำ • 2. ห้วย/ลำธาร  3. คลอง 1   • 4. หนองน้ำ/บึง • 5. น้ำตก • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . 3.3) แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น • 1. แก้มลิง • 2. อ่างเก็บน้ำ • 3. ฝาย • 4. สระ • 5. คลองชลประทาน • 6. อื่นๆ(โปรดระบุ) 6.1) . 6.2) . 6.3) . ๗.3 ข้อมูลด้านแหล่งน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) (๑) หมู่บ้านคลอง หมู่ที่ ๑ มีพื้นที่ทั้งหมด 1,114 มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (2) หมู่บ้านดอนสะแก หมู่ที่ 2 มีพื้นที่ทั้งหมด 784 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (3) หมู่บ้านคลองเม็ง หมู่ที่ 3 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,203 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (4) หมู่บ้านหนองปลาเล็ก หมู่ที่ 4 มีพื้นที่ทั้งหมด 8๓8 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (5) หมู่บ้านดอนฟักทอง หมู่ที่ 5 มีพื้นที่ทั้งหมด 886 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (6) หมู่บ้านศาลไต้เซีย หมู่ที่ 6 มีพื้นที่ทั้งหมด 732 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (7) หมู่บ้านรางห้าตำลึง หมู่ที่ 7 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,81๒ ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (8) หมู่บ้านคลอง หมู่ที่ 8 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,004 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  (9) หมู่บ้านคลองขุนพิทักษ์ หมู่ที่ 9 มีพื้นที่ทั้งหมด 1,037 ไร่ มีแหล่งน้ำน้ำกิน น้ำใช้ (หรือน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค) ดังนี้ แหล่งน้ำ ไม่มี มี ทั่วถึงหรือไม่ เพียงพอ ไม่เพียงพอ ทั่วถึง ไม่ทั่วถึง ร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึง 4.1 บ่อบาดาลสาธารณะ  4.2 บ่อน้ำตื้นสาธารณะ  4.3 ประปาหมู่บ้าน (ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)   4.4 ระบบประปา (การประปาส่วนภูมิภาค)  4.5 แหล่งน้ำธรรมชาติ  4.6 อื่นๆ (โปรดระบุ) 4.6.1) . 4.6.2) . 4.6.3) .  8.ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม 8.1 การนับถือศาสนา ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ โดยมีสถาบันและองค์กรทางศาสนา ดังนี้ - วัดในพื้นที่มีจำนวน 2 แห่ง 1. วัดพิทักษ์เทพาวาส เดิมชื่อ วัดตั้วฮ้ำ ตั้งอยู่ที่บ้านขุนพิทักษ์ 97 หมู่ที่ 4 ตำบลขุนพิทักษ์ อำเภอ ดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 27 ไร่ 84 ตารางวา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 2. วัดสอนประดิษฐ์วราราม เดิมชื่อ วัดเม็ง ตั้งอยู่เลขที่ 78 หมู่ที่ 3 ตำบลขุนพิทักษ์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตามหลักฐานไม่ปรากฏ ระยะเวลาในการสร้าง มีการบูรณปฏิสังขรณ์ เรื่อยมา จนได้รับอนุญาตให้ตั้งวัด เมื่อ ปี พ.ศ. 2322 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2482 - ศาลเจ้า 1 แห่ง คือ ศาลเจ้าแม่กวนอิม 8.2 ประเพณีและงานประจำปี 1. ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ จัดขึ้นช่วงระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน ภายในงานมีการทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในหมู่บ้าน 2. ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จัดขึ้นระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปีปฏิทิน ประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นประเพณีที่สำคัญของชาวพุทธศาสนา เพราะเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ชาวบ้านจะรวมตัวกัน แห่เทียนพรรษานำไปถวายพระเพื่อไว้ใช้จุดบูชาในช่วงจำพรรษานอกจากเทียนพรรษาก็ยังมีน้ำ ผ้าอาบน้ำฝน และเครื่องไทยทานเพื่อนำถวายพระสงฆ์ 3. ประเพณีลอยกระทง จัดขึ้นช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา ในวันลอยกระทง ชาวบ้านจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตกแต่งเป็นต่าง ๆ อย่างสวยงาม ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในลำคลอง เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย เพราะชาวตำบลขุนพิทักษ์ มีวิถีการดำเนินชีวิต ที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ 4. เทศกาลกินเจ เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านานของชาวจีน โดยจะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนของทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน ผู้คนส่วนหนึ่งจะไม่กินเนื้อสัตว์ ทำให้ได้ช่วยชีวิตสัตว์ไว้ได้ส่วนหนึ่ง เนื่องจากมีการฆ่าสัตว์น้อยลง ผู้คนที่ศรัทธาในพุทธศาสนาจะพากันสละกิจโลกียวัตร และ พากันเข้าวัดวาอารามบำเพ็ญศีลสมาทาน กินเจ คือ บริโภคแต่อาหารจำพวกพืชผัก และ ผลไม้เป็นหลัก ละเว้นไม่กระทำกิจใด ๆ อันนำมาซึ่งการเบียดเบียนเดือดร้อนให้เกิดแก่สัตว์โลก คือการไม่เอา ชีวิต เลือด เนื้อของสัตว์โลกให้มาเป็นของเรา พากันซักฟอกมลทิน ออกจากร่างกาย วาจา และ ใจ สวมเสื้อผ้าขาวสะอาด เข้าวัดเข้าวา พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน ทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้ ถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน ผู้ถือศีลกินเจ จะมีการชำระกระเพาะให้สะอาดก่อน โดยการกินเจในมื้อเย็นก่อนวันจริง 1 มื้อ และมื้อเช้าหลังวันที่เก้าขึ้น 9 ค่ำอีก1 มื้อเป็นการลา ซึ่งจะเป็นวันส่งเจ้า ในช่วง 9 วันนี้ ทุกวันคี่ จะถือเป็นวันเจใหญ่ พุทธบริษัทจะไปทำบุญ และกินเจที่ศาสนสถาน นอกนั้นจะถือศีลกินเจที่บ้านเทศกาลกินเจ 9. ทรัพยากรธรรมชาติ 9.1 น้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ ลำคลองสาธารณะ 20 สาย 9.2 คุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรดิน มีสภาพดินดีอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกพืช ทรัพยากรน้ำ มีคุณภาพดี เพียงพอต่อความต้องการ ในการเกษตร 10. อื่นๆ วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจและชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โครงสร้าง การบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ โครงสร้างการแบ่งส่วน ราชการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ นักoyd บทที่ 3 การปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก ความหมายมาตรฐานการปฏิบัติงาน มาตรฐานการปฏิบัติงานถือเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่องค์การจะนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล เพราะทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานต่างจะได้รับประโยชน์จากการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานขึ้นมาใช้ร่วมกัน ผู้บริหารจะมีเครื่องมือช่วยควบคุมให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ การมอบหมายหน้าที่และการสั่งการสามารถทำได้โดยสะดวกและรวดเร็ว การประเมินผลการปฏิบัติงานมีความยุติธรรมและน่าเชื่อถือ เนื่องจากมีทั้งหลักฐานและหลักเกณฑ์ที่ผู้บริหารสามารถชี้แจงให้ผู้ปฏิบัติงานยอมรับผลการประเมินได้โดยงานในส่วนของผู้ปฏิบัติงาน มาตรฐานที่กำหนดไว้ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายที่ทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมายการปฏิบัติงานมีความถูกต้องมากขึ้น เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานมีกรอบหรือแนวทางในการปรับปรุงงานและการพัฒนาศักยภาพ เพื่อนำไปสู่มาตรฐานการปฏิบัติงานที่ทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารองค์การได้รวมกันกำหนดไว้เพื่อคุณภาพของการปฏิบัติงานและความเจริญก้าวหน้าขององค์การ มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance Standard) การบริหารงานบุคคลนับเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของการบริหารองค์การ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้การพัฒนาองค์การบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ การบริหารบุคคลเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องตัวกับตัวบุคคลในองค์การ นับตั้งแต่การสรรหาบุคคลมาปฏิบัติงาน การบรรจุแต่งตั้ง การพัฒนา การประเมินผลการปฏิบัติงาน ไปจนถึงการให้บุคคลพ้นจากงาน ทั้งนี้เพื่อให้องค์การได้คนดีมีความรู้ความสามารถและความประพฤติดีมาปฏิบัติงาน ซึ่งการที่องค์การจะได้บุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาปฏิบัติงานนั้น จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือสำคัญคือการประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Standard) ขึ้นมาใช้ในการวัดและประเมินคุณสมบัติของบุคคล ซึ่งผลที่ได้จาการประเมินผลการปฏิบัติงานจะเป็นข้อมูลที่องค์การนำไปใช้ในการพิจารณาการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การโอนย้าย การให้พักงาน และการให้พ้นจากงานโดยทั่วไปแล้ว การที่จะทำให้การประเมินผลการปฏิบัติงานดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและเชื่อถือได้นั้น องค์การมักจะสร้างเครื่องมือประกอบอีกส่วนหนึ่งขึ้นมาใช้ในการพิจารณาประเมินผล ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่ต้องใช้ก็คือ มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance Standard) ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบผลงานระหว่างบุคคลที่ปฏิบัติงานอย่างเดียวกัน โดยองค์การต้องทำการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานไว้เป็นหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนก่อนแล้ว เมื่อดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลจึงเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่องค์การได้กำหนดไว้ มาตรฐานการปฏิบัติงาน สำหรับคำว่ามาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance Standard) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ได้ให้ความหมายว่าเป็นผลการปฏิบัติงานในระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ที่น่าพอใจหรืออยู่ในระดับที่ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่ทำได้ การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานจะเป็นลักษณะข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาในงานที่ต้องปฏิบัติ โดยจะมีกรอบในการพิจารณากำหนดมาตรฐานหลาย ๆ ด้าน ด้วยกัน อาทิ ด้านปริมาณ คุณภาพ ระยะเวลา ค่าใช้จ่ายหรือพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน เนื่องจากมาตรฐานของงานบางประเภทจะออกมาในรูปแบบของปริมาณ ในขณะที่บางประเภทอาจออกมาในรูปของคุณภาพองค์การ จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของงานประเภท นั้น ๆ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ส่วนราชการมีมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ชัดเจน อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรที่แสดงถึงรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานของกิจกรรม/กระบวนการต่าง ๆ ของหน่วยงาน 2. เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการองค์การ/การจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานถือเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงาน (ตาม PM 5) ที่มุ่งไปสู่การบริหารคุณภาพทั่วไปทั้งองค์การอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของส่วนราชการได้มาตรฐานเป็นไปตามเป้าหมาย ได้ผลิตผลหรือการบริการที่มีคุณภาพ เสร็จรวดเร็วทันตามกำหนดเวลานัดหมาย มีการทำงานปลอดภัยเพื่อการบรรลุข้อกำหนดที่สำคัญของกระบวนการ ประโยชน์ของมาตรฐานการปฏิบัติงาน หากจะพิจารณาถึงประโยชน์ที่องค์การและบุคคลในองค์การจะได้รับจากการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานขึ้นใช้ก็พบว่ามีด้วยกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การสร้างแรงจูงใจ การปรับปรุงงาน และการประเมินผลการปฏิบัติงาน ดังนี้ 1. ด้านประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน มาตรฐานการปฏิบัติงานจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง การเปรียบเทียบผลงานที่ทำได้กับที่ควรจะเป็นมีความชัดเจน มองเห็นแนวทางในการพัฒนาการปฏิบัติงานให้เกิดผลได้มากขึ้น และช่วยให้มีการฝึกฝนตนเองให้เขาสู่มาตรฐานได้ 2. ด้านการสร้างแรงจูงใจ มาตรฐานการปฏิบัติงานเป็นสิ่งทำให้เราเกิดความมุ่งมั่นไปสู่มาตรฐานผู้ปฏิบัติงานที่มีความสามารถจะเกิดความรู้สึกท้าทายผู้ปฏิบัติงานที่มุ่งความสำเร็จจะเกิด ความมานะพยายาม ผู้ปฏิบัติงานจะเกิดความภาคภูมิใจและสนุกกับงาน 3. ด้านการปรับปรุงงานมาตรฐานการปฏิบัติงานจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่าผลงานที่มีคุณภาพจะต้องปฏิบัติอย่างไร ช่วยให้ไม่ต้องกำหนดรายละเอียดของงานทุกครั้ง ทำให้มองเห็นแนวทางในการปรับปรุงงานและพัฒนาความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน และช่วยให้สามารถพิจารณาถึงความคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มผลผลิต 4. ด้านการควบคุมงานมาตรฐานการปฏิบัติงานเป็นเครื่องที่ผู้บังคับบัญชาใช้ควบคุม การปฏิบัติงานผู้บังคับบัญชาสามารถมอบหมายอำนาจหน้าที่และส่งผ่านคำสั่งได้ง่ายขึ้น ช่วยให้สามารถดำเนินงานตามแผนง่ายขึ้นและควบคุมงานได้ดีขึ้น 5. ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน มาตรฐานการปฏิบัติงานช่วยให้การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีหลักเกณฑ์ ป้องกันไม่ให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้วยความรู้สึกการเปรียบเทียบ ผลการปฏิบัติงานที่ทำได้กับมาตรฐานการปฏิบัติงานมีความชัดเจน และช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานยอรับผลการประเมินได้ดีขึ้น ขั้นตอนการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 1. เลือกงานหลักของแต่ละตำแหน่งมาทำการวิเคราะห์โดยดูรายละเอียดจากแบบบรรยายลักษณะงาน (Job Description) ประกอบด้วย 2. พิจารณาวางเงื่อนไขหรือข้อกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าต้องการผลงานลักษณะใดจากตำแหน่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปริมาณงาน คุณภาพงาน หรือวิธีการปฏิบัติงาน ซึ่งเงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่ตั้งไว้ต้องไม่ขัดกับนโยบาย หลักเกณฑ์หรือระเบียบข้อบังคับของหน่วยงานหรือองค์การ 3. ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าหน่วยงานทุกหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อปรึกษาและหาข้อตกลงร่วมกัน 4. ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ 5. ติดตามดูการปฏิบัติงานแล้วนำมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ 6. พิจารณาปรับปรุงหรือแก้ไขมาตรฐานที่กำหนดไว้ใหม่ตามความเหมาะสมยิ่งขึ้น เกณฑ์ของมาตรฐานการปฏิบัติงาน เกณฑ์ที่องค์การมักกำหนดเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงาน ได้แก่ เกณฑ์ด้านปริมาณงานและระยะเวลาที่ปฏิบัติคุณภาพของงาน ลักษณะการแสดงออกขณะปฏิบัติงาน ซึ่งกล่าวได้โดยละเอียด ดังนี้ 1. ปริมาณงานและระยะเวลาที่ปฏิบัติเป็นการกำหนดว่างานต้องมีปริมาณเท่าไร และควรจะใช้เวลาปฏิบัติมากน้อยเพียงใดงานจึงจะเสร็จ ดังนั้นงานลักษณะเช่นนี้จะไม่สามารถกำหนดมาตรฐานด้วยปริมาณหรือระยะเวลาที่ปฏิบัติได้ 2. คุณภาพของงาน เป็นการกำหนดว่าผลงานที่ปฏิบัติได้นั้นควรมีคุณภาพดีมากน้อยเพียงใด โดยส่วนใหญ่มักกำหนดว่าคุณภาพของงานจะต้องมีความครบถ้วน ประณีต ถูกต้องเชื่อถือได้ ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร 3. ลักษณะการแสดงออกขณะปฏิบัติงาน งานบางตำแหน่งไม่สามารถกำหนดมาตรฐานด้วยคุณภาพหรือปริมาณ แต่เป็นงานที่ต้องปฏิบัติโดยการใช้บุคลิกหรือลักษณะเฉพาะบางอย่างประกอบ ดังนั้น การกำหนดลักษณะพฤติกรรมที่ต้องแสดงออกไว้ในมาตรฐานการปฏิบัติงานจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างไร เนื่องจากการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์การและขวัญกำลังใจของเพื่อนร่วมงานอย่างไรก็ตาม เพื่อให้การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานสำหรับตำแหน่งงานต่าง ๆ ในองค์การมีความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติงาน ผู้ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานจะต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญบางประการนั่นก็คือ ต้องเป็นมาตรฐานที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้โดยทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นพ้องต้องกันว่ามาตรฐานมีความเป็นธรรม ผู้ปฏิบัติงานทุกคนสามารถปฏิบัติได้ตามที่กำหนดไว้ ลักษณะงานที่กำหนดไว้ในมาตรฐานต้องสามารถวัดได้เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์หรือหน่วยอื่น ๆ ที่สามารถวัดได้มีการบันทึกไว้ให้เป็นลายลักษณ์อักษรและเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้และเข้าใจตรงกัน และสุดท้ายมาตรฐานการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ต้องสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนี้ต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงเพราะผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถปฏิบัติได้ตามมาตรฐาน การเปลี่ยนแปลงควรมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่หน่วยงานมีวิธีปฏิบัติงานใหม่หรือนำอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้มาใช้ปฏิบัติงาน โครงสร้างองค์กรขององค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลมีสภาตำบลอยู่ในระดับสูงสุดเป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลกรรมการบริหารของนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบลและมีพนักงานประจำที่เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ทำงานประจำวันโดยมีปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นหัวหน้างานบริหารภายในองค์กรมีการแบ่งออกเป็นหน่วยงานต่าง ๆ ได้เท่าที่จำเป็นตามภาระหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลแต่ละแห่งเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบอยู่ เช่น - สำนักปลัด - กองคลัง - กองช่าง - กองการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม - กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม - กองสวัสดิการและสังคม ๑. สำนักปลัด อบต. มีภารกิจด้านงานบริหารทั่วไป งานกิจการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ งานบริหารงานทั่วไป งานนโยบายและแผน งานกฎหมายและคดี งานสังคมสงเคราะห์ งานสวัสดิการและพัฒนาชุมชน งานส่งเสริมอาชีพและพัฒนาสตรี งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย งานส่งเสริมการเกษตร งานส่งเสริมปศุสัตว์ งานกิจการสภา งานส่งเสริมการท่องเที่ยว งานบุคลากร ๒. กองคลัง มีภารกิจด้านงานการเงิน งานการบัญชี งานพัฒนาและจัดเก็บรายได้ และงานทะเบียนทรัพย์สินและพัสดุ ๓. กองช่าง มีภารกิจด้านงานก่อสร้าง งานออกแบบและควบคุมอาคาร งานประสานสาธารณูปโภค งานผังเมือง 4. กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจด้านงานอนามัยและสิ่งแวดล้อม งานส่งเสริมสุขภาพและสาธารณสุข งานรักษาความสะอาด งานควบคุมและจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม งานบริการสาธารณสุข 5. กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีภารกิจด้านงานบริหารการศึกษา งานส่งเสริม การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม งานกิจการโรงเรียน 6.กองสวัสดิการและสังคม มีภารกิจด้านงานผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยเอดส์ และเยาวชนในตำบล โครงสร้างของสำนักปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ โครงสร้างกองคลัง โครงสร้างกองช่าง โครงสร้างกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม โครงสร้างกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม การปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ แนวทางระเบียบการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดำเนินการวางแผนพัฒนาโดยให้องค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีการปรับปรุงแผนพัฒนาตำบล 3 ปีเป็นประจำทุกปีซึ่งการปรับปรุงแผนจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากการจัดประชุมประชาคมหมู่บ้านประชาคมตำบลปัญหาความต้องการท้องถิ่นยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด/อำเภอแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 นโยบายของผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบและให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขององค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบฯ องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ได้ทำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงแผนพัฒนาตำบล 3 ปีเป็นแนวทางในการพัฒนาตำบลเขาเขนและเป็นเครื่องมือของผู้บริหารในการวางกรอบการทำงานการพัฒนาตำบลต่อไป ลักษณะของแผนพัฒนาสามปี แผนพัฒนาสามปี เป็นเอกสารที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา แสดงแนวทางการพัฒนาและวัตถุประสงค์ของการพัฒนาที่ชัดเจน มีโครงการ/กิจกรรมการพัฒนาที่จะดำเนินการเป็นระยะเวลา 3 ปี และการแสดงความเชื่อมโยงกับข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี กล่าวคือ องค์การบริหารส่วนตำบลใช้การวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเป็นเครื่องมือในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อที่กระบวนการจัดทำงบประมาณเป็นไปด้วยความรอบคอบ และผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามจุดประสงค์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555 - 2559 วัตถุประสงค์ของการจัดทำแผนสามปี 1. เพื่อแสดงความสัมพันธ์เชื่อมโยงและสอดคล้องกันระหว่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา แผน 3 ปี และการจัดทำงบประมาณประจำปี 2. เพื่อแสดงแนวทางการพัฒนาในช่วงสามปีที่มีความสอดคล้องและสามารถสนองตอบต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ 3. เพื่อเป็นการจัดเตรียมโครงการพัฒนาต่าง ๆ ให้อยู่ในลักษณะที่พร้อมจะบรรจุในงบประมาณรายจ่ายประจำปี และนำไปปฏิบัติได้ทันทีเมื่อได้รับงบประมาณ แผนพัฒนาสามปี มีลักษณะกว้าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. เป็นเอกสารที่แสดงความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา 2. เป็นเอกสารที่จะแสดงความเชื่อมโยงระหว่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา กับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3. เป็นเอกสารที่แสดงโครงการ/ กิจกรรมการพัฒนาที่จะดำเนินการเป็นห้วงระยะเวลา 4. เป็นเอกสารที่จะแสดงความเชื่อมโยงระหว่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากับงบประมาณรายจ่ายประจำปี สรุปความเชื่อมโยง แผนพัฒนาระดับต่างๆ กับ แผนพัฒนาท้องถิ่น และงบประมาณท้องถิ่น Work Flowกระบวนงาน การใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการเขียนแผนผังการทำงาน เพื่อให้เห็นถึงลักษณะ และความสัมพันธ์ก่อน - หลัง ของแต่ละขั้นตอนในกระบวนงาน ที่จะเป็นประโยชน์ในการช่วยทำความเข้าใจกระบวนการทำงานที่ง่ายขึ้นและแสดงให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนการทำงาน (Work Flow) ผังงาน (Flow Chart) ระยะเวลา ผู้รับผิดชอบ* (ตำแหน่ง/กลุ่ม/ฝ่าย) ประชาคม ก.พ. - มี.ค. จนท.วิเคราะห์ฯ/หัวหน้าสำนักงานปลัด/ปลัดฯ/จนท.สำนักงานปลัดฯ/คกก.จัดทำแผน/คกก.สนันสนุนแผนฯ รวบรวมข้อมูล/ปัญหา/ความต้องการจากประชาคมหมู่บ้านเพื่อจัดทำประชาคมระดับตำบล N มี.ค. - พ.ค. จนท.วิเคราะห์ฯ/หัวหน้าสำนักงานปลัด/ปลัดฯ/คกก.จัดทำแผน/คกก.สนับสนุนแผนฯ จัดทำร่างแผนฯ Ye พ.ค. - มิ.ย. จนท.วิเคราะห์ฯ/หัวหน้าสำนักงานปลัด/ปลัดฯ/คกก./จนท.สำนักงานปลัดฯ ประชุม คกก.จัดทำแผน/คกก.สนับสนุนแผนฯ N พ.ค. - มิ.ย. จนท.วิเคราะห์ฯ/หัวหน้าสำนักงานปลัด/ปลัดฯ/จนท.สำนักงานปลัดฯ/คกก.จัดทำแผน/คกก.สนับสนุนแผนฯ เสนอสภาฯพิจารณาเห็นชอบ Y มิ.ย. จนท.วิเคราะห์ฯ/หัวหน้าสำนักงานปลัด/ปลัดฯ/สภาฯ ประกาศใช้ มิ.ย. ผู้บริหารท้องถิ่น ขั้นตอนการจัดทำแผนพัฒนาสามปี 1. ประชาคมหมู่บ้าน 2. รวบรวมนำข้อมูลปัญหา/ความต้องการ/โครงการจากากรประชาคมหมู่บ้านเพื่อประชุมคณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนา อบต.และคณะกรรมการพัฒนา อบต. 3. ประชาคมระดับตำบล 4. เสนอร่างแผนพัฒนาสามปีต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้ความเห็นชอบ 5. ประกาศใช้แผนพัฒนาสามปี 6. รายงานอำเภอ จังหวัด กระทรวงทราบ 7. ประกาศให้ทราบเป็นแผนพัฒนาตำบล 8. ฝ่ายบริหาร และเจ้าหน้าที่งบประมาณจัดทำเป็นข้อบัญญัติ 9. เสนอให้สภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้ความเห็นชอบ 10. นายอำเภออนุมัติ 11. นายกองค์การบริหารส่วนตำบลลงนามประกาศเป็นข้อบัญญัติ 12. ฝ่ายบริหารจัดการบริหารโครงการ -จัดทำเอง - สนับสนุนงบประมาณ 13. ประชาชนติดตามโครงการต่าง ๆ - ตรวจสอบงบประมาณ - เสนอโครงการ คู่มือแผนการปรับลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 กระบวนการ ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติในการจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ขององค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 1 แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น/คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น 1.1 ผู้บริหารท้องถิ่นแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 1.2 ผู้บริหารท้องถิ่นแต่งตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น - ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 1 ข้อ 7 และ ข้อ 9 - ดำเนินการเมื่อคณะกรรมการชุดเดิมหมดวาระแล้ว ซึ่งคณะกรรมการแต่ละชุดมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี - ภายในเดือนพฤศจิกายน ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ 2 การเตรียมการจัดประชุมประชาคม 2.1 คณะกรรมการพัฒนาแผนท้องถิ่นร่วมกับส่วนราชการผู้นำชุมชนทุกหมู่บ้าน กำหนดวัน เวลา และสถานที่จัดเวทีประชาคม รูปแบบ การจัดเวทีประชาคมและระเบียบวาระ/ลำดับการนำเสนอ 2.2 ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำแผนงาน/โครงการ เข้าร่วมบูรณาการ 2.3 แจ้งอำเภอ/ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมกระบวนการ 2.4 เชิญผู้แทนครอบครัวเข้าร่วมเวทีประชาคมต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของครัวเรือนทั้งหมด - หนังสือเชิญอำเภอ/ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมบูรณาการ - แบบนำเสนอแผนงาน/โครงการ - ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 1 ข้อ 10 (1) - ดำเนินการภายในเดือนกุมภาพันธ์ ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 3. การประชุมประชาคมระดับหมู่บ้าน 3.1 ผู้มาร่วมจัดเวทีประชาคมลงทะเบียนทุกคน 3.2 ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง/ผู้นำชุมชน/ประชาชน/คณะกรรมการหมู่บ้านนำเสนอแผนงาน/โครงการ เพื่อบรรจุ ลงร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น 3.3 จัดหมวดหมู่ข้อมูล แผนงาน/ โครงการ 3.4 วิเคราะห์ข้อมูลจัดลำดับความสำคัญ 3.5 เสนอแนวทางแก้ไข ทิศทางการพัฒนาหมู่บ้าน 3.6 ตรวจสอบเอกสารสรุปผลการประชาคมเบื้องต้นและลงมติ โดยการยกมือ 3.7 บันทึกผลการประชุมประชาคม - หนังสือเชิญประชุม - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 3 ข้อ 17 (1) - สมุดลงชื่อเข้าร่วมประชุมฯ - บันทึกรายงานการประชุมประชาคมทุกหมู่บ้าน ทั้ง ๖หมู่บ้าน - ภาพถ่าย - แบบประเมิน - ดำเนินการระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม - ออกประชาคมทั้งหมด ๖ หมู่บ้าน วันละ 1 หมู่บ้าน รวม ๖ คน . ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ 4. การรวบรวมนำข้อมูลปัญหา/ความต้องการ/โครงการจากการประชาคมหมู่บ้าน 4.1 คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวบรวมปัญหา/ความต้องการ และรวบรวมข้อมูลของทั้ง ๖ หมู่บ้าน 4.2 จัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนจากการประชุมประชาคมหมู่บ้านเพื่อดำเนินการต่อไป - แบบเสนอแผนงาน/โครงการแต่ละหมู่บ้าน ทั้ง 4 หมู่บ้าน - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 3 ข้อ 17 (2) - บันทึกรายงานการประชุม - ดำเนินการทันที่ประชาคมระดับหมู่บ้านเรียบร้อยแล้วทั้ง 4 หมู่บ้าน ภายในเดือน มีนาคม ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 5. ประชาคมระดับตำบล 5.1 รวบรวมปัญหา/ความต้องการ และรวบรวมข้อมูลแผนงาน/โครงการ ของทั้ง ๖ หมู่บ้าน ที่จัดลำดับจัดความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนจากการประชุมประชาคมหมู่บ้านมาพิจารณา 5.2 เสนอความต้องการเร่งด่วนในภาพรวมและระดับตำบลรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมทุกประเด็นปัญหาตามลำดับ 5.3 สรุปประเด็นปัญหาทั้งหมดเพื่อพิจารณาจัดลำดับและลงมติโดยการยกมือ - บันทึกรายงานการประชุมประชาคมระดับหมู่บ้าน - สรุปประเด็นปัญหา/ความต้องการทั้ง ๖ หมู่บ้าน - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 3 ข้อ 17 (2) - สมุดลงชื่อเข้าร่วมประชุมประชาคมระดับตำบล - บันทึกรายงานการประชุมประชาคมระดับตำบล - ภาพถ่าย - ดำเนินการทันทีหลังจากรวบรวมข้อมูลการประชาคมระดับหมู่บ้านทั้ง ๖ หมู่บ้าน ภายในเดือน เมษายน ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 6. จัดทำร่างแผนพัฒนาฯ 6.1 คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นประสานกับประชาคมหมู่บ้านในการรวบรวม วิเคราะห์ปัญหา ความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นและจัดทำเป็นโครงการหรือกิจกรรมให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น 6.2 คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นจัดทำร่างแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ - บันทึกรายงานการประชุมประชาคมระดับหมู่บ้าน/ระดับตำบล - สรุปประเด็นปัญหา/ความต้องการเพื่อจัดลำดับความสำคัญ - จัดแผนงาน/โครงการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของตำบล - ดำเนินการทันทีหลังจากประชาคมระดับหมู่บ้าน/ระดับตำบลเสร็จสิ้นแล้ว ภายในเดือนพฤษภาคม 7. ประชุมคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น/คณะกรรมการสนับสนุนฯ 7.1 เชิญคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นและคณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนท้องถิ่นเข้าประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเพื่อพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นให้ตรงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของตำบล 7.2 สรุปประเด็นปัญหาความต้องการจากร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อนำเข้าระเบียบวาระเสนอสภาฯ พิจารณาเห็นชอบต่อไป - หนังสือเชิญประชุม - สมุดลงชื่อผู้เข้าประชุม - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 1 ข้อ 12 - บันทึกรายงานการประชุม - ภาพถ่าย - ดำเนินการทันทีหลังจากจัดทำร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นแล้วภายในเดือนพฤษภาคม ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 8. สภาพิจารณาเห็นชอบร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น 8.1 ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาเสนอร่างแผนพัฒนาสามปีต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อให้ความเห็นชอบ 8.2 สภาท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นของแต่ละยุทธศาสตร์ 8.3 สภาท้องถิ่นลงมติเห็นชอบร่างแผนพัฒนาท้องถิ่นโดยการยกมือ 8.4 บันทึกรายงานการประชุมสภาฯ ส่วนท้องถิ่น หมวด 3 ข้อ 17 (4) - บันทึกรายงานการประชุมสภาฯ - ภาพถ่าย 9. ประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่น 9.1 ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาอนุมัติและประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่น 9.2 นำแผนพัฒนาสามปีไปปฏิบัติรวมทั้งแจ้งสภาท้องถิ่นผู้นำขุมชนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วกันภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ประกาศใช้และปิดประกาศโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่าสามสิบวัน - ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาอนุมัติร่างแผนพัฒนาสามปีและประกาศใช้แผนพัฒนาสามปี - รายงานให้ผู้กำกับดูแลในระดับอำเภอทราบ - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 3 ข้อ 17 (4) และ หมวด 5 ข้อ 24,25 - ดำเนินการทันทีเมื่อดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว ภายในเดือนมิถุนายน ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 9. ประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่น 9.3 อปท.ใช้แผนพัฒนาสามปีเป็นกรอบในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งวางแนวทางเพื่อให้มีการปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์รวมโครงการที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาสามปี 9.4 ประสานแผนพัฒนาสามปีที่เกินศักยภาพเพื่อเสนอคณะกรรมการระดับอำเภอเพื่อพิจารณาประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 9.5 จัดเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้าน 9.6 จัดส่งให้อำเภอ/จังหวัด เพื่อเป็นข้อมูลจัดทำแผนพัฒนาอำเภอและแผนพัฒนาจังหวัด 9.7 จัดส่งให้องค์กรเอกชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 10. จัดทำแผนการดำเนินงาน 10.1 คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นรวบรวมแผนงาน โครงการพัฒนาของ อปท.หน่วยราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ๆ ที่ดำเนินการในพื้นที่ของ อปท. 10.2 จัดทำร่างแผนการดำเนินงาน เสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 10.3 คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนการดำเนินงาน แล้วเสนอผู้บริหารท้องถิ่นประกาศเป็นแผนดำเนินงาน 10.4 ปิดประกาศภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ประกาศเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วกันและต้องปิดประกาศไว้อย่างน้อยสามสิบวัน - แผนพัฒนาท้องถิ่น - ข้อบัญญัติตำบล - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 5 ข้อ 26 - ดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมของปีงบประมาณนั้นหรือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ตั้งงบประมาณดำเนินการหรือได้รับแจ้งแผนงาน/โครงการจากหน่วยราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการในพื้นที่ อปท.ในปีงบประมาณนั้น ลำดับ กระบวนงานบริการ ขั้นตอนการให้บริการ เอกสารประกอบการพิจารณา ระยะเวลาการให้บริการ หมายเหตุ สำนักงานปลัด กระบวนงาน : การจัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล 11. การติดตามและประเมินผลแผนพัฒนา 11.1 ผู้บริหารท้องถิ่นแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น 11.2 คณะกรรมการกำหนดแนวทาง วิธีการในการติดตาม 11.3 ดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนา 11.4 รายงานผลและเสนอความเห็นซึ่งได้จากการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาต่อผู้บริหารท้องถิ่น 11.5 ผู้บริหารท้องถิ่นเสนอต่อสภาท้องถิ่นคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น และประกาศผลการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วไปอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ภายในเดือนธันวาคมของทุกปี 11.6 ปิดประกาศโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่าสามสิบวัน - แผนพัฒนาท้องถิ่น - ข้อบัญญัติตำบล - ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมวด 6 ข้อ 28,29,30,และ ข้อ 31 - ผู้บริหารประกาศการติดตามแผนและประเมินผลแผนฯ ให้ประชาชนทราบ - ดำเนินการทันทีหลังจากจัดทำแผนการดำเนินงานแล้ว ภายในเดือนธันวาคม แนวทางการดำเนินงาน จากแผนผัง/ขั้นตอนการจัดทำแผนสามปี หลังจากที่ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและแนวทางการพัฒนาในแผนยุทธศาสตร์แล้วก็จะต้องถึงขั้นตอนในการแปลงสู่การปฏิบัติโดยการจัดทำแผนพัฒนาสามปีซึ่งได้กำหนดขั้นตอนการจัดทำเป็นแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมการจัดทำแผน 1. หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำแผนพัฒนาควรเข้าพบผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ความสำคัญและความจำเป็นไปการจัดทำแผนพัฒนาสามปี เพื่อให้ผู้บริหารทราบถึงภารกิจทีจะต้องดำเนินการต่อไปนี้และดำเนินการเสนอโครงการจัดทำแผนพัฒนาสามปี ห้วงปี พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2550 ผ่านปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถิ่นอนุมัติ 2. หน่วยงานที่รับผิดชอบแจ้งโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ได้แก่คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น หน่วยงานภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชน ขั้นตอนที่ 2 การคัดเลือกยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนา 1. ในขั้นตอนนี้ คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนา จะสรุปยุทธศาสตร์การพัฒนาและแนวทางการพัฒนาจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพร้อมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ปัญหาความต้องการของท้องถิ่น รวมทั้งสรุปยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด/อำเภอและนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 2. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น จัดการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นประชาคมท้องถิ่นและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพิจารณาโดยในการจัดทำแผนพัฒนาสามปีในครั้งแรกให้เวทีการประชุมร่วมกันดังกล่าว คัดเลือกยุทธศาสตร์การพัฒนาแนวทางที่สมควรนำมาใช้เป็นแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาสามปี เพื่อเป็นกรอบในการพิจารณาจัดทำโครงการ/กิจกรรมในแผนพัฒนาสามปีต่อไป 3. เมื่อได้แนวทางการพัฒนาแล้ว เวทีการประชุมร่วมพิจารณาว่าจะมีโครงการ/กิจกรรมอะไรบ้างที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแนวทางการพัฒนาที่คัดเลือกมาใช้เป็นกรอบในการพัฒนา 4. โครงการ/กิจกรรมที่พิจารณากำหนดอาจมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในขั้นตอนนี้จะต้องมีการดำเนินการ ดังนี้ (1) พิจารณาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างยุทธศาสตร์หรือระหว่างแนวทางการพัฒนา (2) ให้พิจารณานำโครงการ/กิจกรรมจากแผนชุมชนที่เกินขีดความสามารถในการดำเนินการของชุมชนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนามาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาสามปี (3) มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/กิจกรรมเพื่อที่จะบรรลุในแผนพัฒนาสามปีได้อย่างเหมาะสมและนอกจากนั้นยังเป็นการจัดลำดับโครงการไว้เพื่อทำแผนพัฒนาสามปี ในช่วงถัดไปด้วย (4) เนื่องจากกิจกรรมที่จะต้องดำเนินการมีความหลากหลาย ดังนั้น ในชั้นของการพิจารณากำหนดกิจกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ - งบประมาณรายรับ รายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - ทรัพยากรการบริหารอื่น ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - ภาคีการพัฒนาที่สามารถเข้ามาร่วมดำเนินการหรือภารกิจรับผิดชอบการดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ เมื่อพิจารณาด้านต่างๆ ดังกล่าวแล้ว จะต้องแยกประเภทของโครงการออกอย่างน้อยสามประเภท คือ - โครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง กล่าวคือ มีขีดความสามารถทั้งทางด้านกำลังเงิน กำลังคน วัสดุอุปกรณ์ และความรู้ทางด้านกายบริหารจัดการที่จะดำเนินการได้เอง - โครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอุดหนุนให้หน่วยงานอื่นดำเนินการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เนื่องจากเป็นงานที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินการ จึงมอบให้หน่วยงานอื่นดำเนินการแทนโดยการตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนให้ตามระเบียบวิธีการของทางราชการ - โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น ทั้งราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาครัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นๆ และภาคเอกชน อันเนื่องมาจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ หรือเป็นโครงการที่หน่วยงานดังกล่าวเป็นหน่วยปฏิบัติและมีหน้าที่จัดบริการสาธารณะดังกล่าวอยู่แล้ว ทั้งนี้ รวมถึงโครงการเงินอุดหนุนเฉพาะ ขั้นตอนที่ 3 การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การเก็บรวบรวมข้อมูล คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น ดำเนินการสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการจัดทำแผนพัฒนาสามปี ซึ่งนอกจากจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานทั่วไปแล้ว ยังจะต้องวิเคราะห์ว่ายุทธศาสตร์การพัฒนา แนวทางการพัฒนาที่เลือกต้องการข้อมูลประเภทใดเป็นพิเศษต้องการข้อมูลของห้วงเวลาใด และจะเก็บข้อมูลจากแหล่งใด เพื่อเป็นข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์แนวทางการพัฒนา โครงการ/กิจกรรมได้อย่างถูกต้อง 2. การวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก คือ - การประเมินผลการพัฒนาที่ผ่านมา - การคัดเลือกยุทธศาสตร์การพัฒนา - การจัดลำดับความสำคัญของแนวทางการพัฒนา - การตัดสินใจเลือกแนวทางพัฒนาในห้วงสามปี โดยมีรายละเอียดในแต่ละกิจกรรม ดังนี้ 1. การประเมินผลการพัฒนาที่ผ่านมา คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น สรุปผลการพัฒนาที่ผ่านมาและนำเสนอที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น ประชาคมท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินผลการพัฒนาท้องถิ่นในรอบปีที่ผ่านมาโดยประเมินทั้งในเชิงประมาณและในเชิงคุณภาพ 2. การคัดเลือกยุทธศาสตร์การพัฒนา หลังจาการประเมินผลการพัฒนาในรอบปีที่ผ่านมาแล้ว ให้ที่ประชุมตามข้อ 1 ร่วมกันคัดเลือกยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา รวมทั้งสอดคล้องกับปัญหาความต้องการของประชาคม/ชุมชนในห้วงระยะเวลาสามปี (ในกรณีดังกล่าวอาจคัดเลือกทุกยุทธศาสตร์การพัฒนามาเป็นกรอบในการจัดทำแผนพัฒนาสามปีก็ได้) ในกรณีที่เห็นว่ามียุทธศาสตร์การพัฒนาใดที่ยังไม่ได้กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาแต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องกำหนดขึ้น ก็อาจกำหนดขึ้นได้แต่ทั้งนี้ต้องแสดงให้เห็นถึงเหตุผลและวัตถุประสงค์ที่มีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน และวิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่น (และนำไปปรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาต่อไป) 3. การจัดลำดับความสำคัญของแนวทางการพัฒนา ภายใต้ยุทธศาสตร์จะมีแนวทางการพัฒนาที่หลากหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์การพัฒนาทั้งสิ้น แต่มีความสำคัญจำเป็นเร่งด่วนมากน้อยแตกต่างกัน ที่ประชุมตามข้อ 1 จะต้องร่วมกันจัดเรียงลำดับความสำคัญของแนวทางการพัฒนา การจัดลำดับความสำคัญดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าแนวทางการพัฒนาทุกแนวทาง ได้รับการพิจารณาแล้วว่าต้องดำเนินการแต่ในห้วงระยะเวลาสามปีของแผนพัฒนาสามปีนั้น อาจมีแนวทางที่จำเป็นต้องนำมาเน้นการปฏิบัติ วิธีการจัดลำดับความสำคัญ มีหลายวิธี ตั้งแต่วิธีง่าย ๆ คือ ประชุมตกลงกันหรืออาจใช้วิธีการลงคะแนนคัดเลือกโดยใช้บัตรลงคะแนน เพื่อนำมารวมคะแนนและจัดลำดับ วิธีการจัดลำดับความสำคัญที่เป็นวิทยาศาสตร์อาจใช้วิธี Rating Scale หรือวิธี Strategic lssues Graph หรือวิธีอื่นๆ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งสามารถเลือกวิธีการปฏิบัติได้ตามความเหมาะสม 4. การตัดสินใจเลือกแนวทางการพัฒนาในห้วงสามปี หลังจากจัดลำดับแนวทางพัฒนาแล้ว ที่ประชุมจะต้องตัดสินใจว่าจะนำแนวทางการพัฒนาเหล่านั้นมาดำเนินการแต่ในการตัดสินใจเลือกนั้น ควรจะได้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปในทางปฏิบัติ เพราะในการจัดลำดับความสำคัญอาจใช้การตัดสินใจของแต่ละบุคคลเป็นหลัก ดังนั้นเพื่อทบทวนและยืนยันการจัดลำดับว่ามีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติจริงหรือไม่ จึงควรนำแนวทางการพัฒนามาทำการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคอีกครั้ง ขั้นตอนที่ 4 การกำหนดวัตถุประสงค์ของแนวทางการพัฒนา 1. หลังจากได้แนวทางการพัฒนาในช่วงสามปีแล้ว ให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาคัดเลือกวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์การพัฒนา มาจัดทำเป็นวัตถุประสงค์ของแนวทางการพัฒนา โดยพิจารณาคัดเลือกวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์การพัฒนาจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาในช่วงสามปี โดยนำวัตถุประสงค์ดังกล่าวมาจัดทำเป็นวัตถุประสงค์ของแนวทางการพัฒนาในช่วงสามปี ขั้นตอนที่ 5 การจัดทำรายละเอียดโครงการ/กิจกรรมการพัฒนา คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น พิจารณาคัดเลือกโครงการที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาในช่วงสามปี มาจัดทำรายละเอียดโครงการ ในด้านเป้าหมาย ผลผลิต ผลลัพธ์ งบประมาณระยะเวลา ผู้รับผิดชอบ และตัวชี้วัดความสำเร็จ โดยเน้นการศึกษารายละเอียดของกิจกรรมที่จะดำเนินการในปีแรกของแผนพัฒนาสามปี เพื่อให้สามารถนำไปจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ต่อไป ขั้นตอนที่ 6 การจัดทำร่างแผนพัฒนาสามปี 1. คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น จัดเวทีประชาคม ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น ประชาคมท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอร่างแผนพัฒนาสามปีและรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะแล้วนำไปปรับปรุงแผนพัฒนาสามปีให้สมบูรณ์ต่อไป 2. คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นนำร่างแผนพัฒนาสามปีที่ปรับปรุงแล้วเสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อพิจารณา ขั้นตอนที่ 7 การอนุมัติและประกาศใช้แผนพัฒนาสามปี 1. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกับประชาคมท้องถิ่น กำหนดประเด็นหลักการพัฒนาให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนารวมทั้งสอดคล้องกับปัญหา ความต้องการของประชาคมและชุมชน โดยให้นำข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาจากหน่วยงานต่าง ๆ และข้อมูลในแผนชุมชนมาพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาสามปี 2. คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นรวบรวมประเด็นหลักการพัฒนา ปัญหาความต้องการและข้อมูลนำมาจัดทำร่างแผนพัฒนาสามปี แล้วเสนอคณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น 3. คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่นพิจารณาร่างแผนพัฒนาสามปีเพื่อเสนอผู้บริหารท้องถิ่น 4. ผู้บริหารท้องถิ่นพิจารณาอนุมัติร่างแผนพัฒนาสามปีและประกาศใช้แผนพัฒนาสามปีสำหรับองค์การบริหารส่วนตำบลให้ผู้บริหารท้องถิ่นเสนอร่างแผนพัฒนาสามปีต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนแล้วผู้บริหารท้องถิ่นจึงพิจารณาอนุมัติและประกาศใช้แผนพัฒนาสามปีต่อไป ประโยชน์ของแผนพัฒนา 3 ปี การจัดทำแผนสามปี เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พิจารณาอย่างรอบคอบให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างแนวทางการดำเนินงานต่างๆที่อาจมีความเชื่อมโยง และส่งผลทั้งในเชิงสนับสนุนและเป็นอุปสรรคต่อกัน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำมาตัดสินใจกำหนดแนวทางการดำเนินงานและใช้ทรัพยากรการบริหารของท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะสูงสุด ทรัพยากรการบราหร โดยทั่วไปประกอบด้วย เงิน ทั้งเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแหล่งงบประมาณภายนอกรวมทั้งมาตรการการประหยัดงบประมาณรายจ่ายด้วย คน ซึ่งหมายถึงความรวมตั้งแต่ผู้บริหารท้องถิ่น พนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ ซึ่งจะมีความแตกต่างหลักหลายทั้งด้านความรู้ ทักษะ และทัศนคติ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องนำศักยภาพกำลังคนเหล่านั้นมาใช้ รวมทั้งต้องพัฒนากำลังคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และถ้าพิจารณาในความหมายอย่างกว้างและอาจหมายความรวมถึงประชาชนในท้องถิ่นซึ่งจะมีส่วนในการพัฒนาท้องถิ่นด้วย วัสดุอุปกรณ์ หมายถึงเครื่องจักร เครื่องมือ รวมทั้งอาคารสถานที่ที่จะสามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการท้องถิ่นให้เกิดการพัฒนาสูงสุด โดยมีการและใช่วัสดุอุปกรณ์ให้มีความทันสมัยเพื่อรองรับความก้าวหน้าของสังคมโดยส่วนรวมได้อย่างเท่าทัน และใช้วัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพ การบริหารจัดการ เป็นสิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนทรัพยากรทั้งสามประการข้างต้นให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีสภาพการพัฒนาอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องศึกษาและนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ¬¬ระบบติดตามประเมินผล เนื่องด้วยการติดตามและประเมินผลโครงการเป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินงานพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น องค์การบริหารส่วนตำบลจำเป็นต้องทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลการพัฒนา สำหรับการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระเบียบได้กำหนดองค์ประกอบของการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2548 หมวด 6 ข้อ 28 ได้กำหนดองค์ประกอบของคณะติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาท้องถิ่นที่สภาท้องถิ่นคัดเลือกจำนวนสามคน ผู้แทนประชาคมท้องถิ่นที่ประชาคมท้องถิ่นคัดเลือกจำนวนสองคน ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ผู้บริหารท้องถิ่นคัดเลือกจำนวนสองคน หัวหน้าส่วนการบริหารที่คัดเลือกกันเองจำนวนสองคน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ผู้บริหารท้องถิ่นคัดเลือกจำนวนสองคน โดยให้คณะกรรมการเลือกคณะกรรมการหนึ่งคนทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการ และกรรมการอีหนึ่งคนทำหน้าที่เลขานุการของคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการทั้งหมดให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีและอาจได้รับการคัดเลือกอีกได้ แนวทางในการติดตามประเมินผลแผนพัฒนาขององค์การบริหารส่วนตำบล ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 หมวด 6 ข้อ 29 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่นไว้ ดังนี้ 1. กำหนดแนวทางวิธีการในการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนา 2. ดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนา 3. รายงานผลและเสนอความเห็นซึ่งได้จากการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาต่อผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อให้ผู้บริหารท้องถิ่นเสนอต่อสภาท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น และประกาศผลการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วกันอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ภายในเดือนธันวาคมของทุกปี ทั้งนี้ให้ปิดประกาศโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่าสามสิบวัน 4. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยปฏิบัติงานตามที่เห็นสมควร การติดตามและประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและแผนพัฒนาสามปี จุดมุ่งหมายสำคัญของการประเมินผลแผนยุทธศาสตร์นั้น คือ การประเมินว่ามีการนำแผนยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติอย่างแท้จริงเพียงใด และได้ผลเป็นอย่างไรเพื่อที่สามารถวัดความสัมฤทธิ์ผลของแผนยุทธศาสตร์ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้เป็นสมมุติฐานในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฉบับต่อไปได้ ดังนั้นการที่จะประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาในภาพรวมได้จำเป็นต้องประเมินผลการปฏิบัติในแต่ละแนวทางการพัฒนาก่อน เพื่อนำไปสู่การวัดความสำเร็จของยุทธศาสตร์ ซึ่งจะแสดงให้เห็นได้ว่าการพัฒนาเป็นไปในแนวทางใดบรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนาที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อวิสัยทัศน์หรือไม่ ดังนั้นในขั้นต้น องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ จึงต้องติดตามประเมินผลแผนพัฒนาสามปีให้ได้ข้อมูล ข้อเท็จจริง อันนำมาสู่บทสรุปที่ไม่บิดเบือนจากผลการปฏิบัติจริงที่เกิดขึ้น บทที่ 4 ระบบการป้องกัน/การตรวจสอบเพื่อป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจหลัก ระบบการป้องกัน/การตรวจสอบเพื่อป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจหลัก ปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการเน้นหนักเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคราชการและเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งปฏิรูประบบบริหารราชการโดยการปรับปรุงคุณภาพข้าราชการในการทำงานโดยเน้นผลงาน การมีคุณภาพ ความซื่อสัตย์สุจริต การมีจิตสำนึกในการให้บริการประชาชน สำหรับหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการตรวจสอบการทุจริต เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น สำหรับคำว่า "ทุจริต" มีกฎหมายหลายฉบับที่กำหนดนิยามความหมายไว้ เช่น ประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 1(1) "โดยทุจริต" หมายความว่าเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2550 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2554) "ทุจริตต่อหน้าที่" หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 85 (2) บัญญัติว่า การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง มีโทษปลดออกหรือไล่ออก การทุจริตตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือนนั้น มีหลักหรือองค์ประกอบที่พึงพิจารณา 4 ประการ คือ 1. มีหน้าที่ราชการที่ต้องปฏิบัติราชการ ผู้มีหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานที่ราชการหรือนอกสถานที่ราชการก็ได้ ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับไว้โดยเฉพาะว่าต้องปฏิบัติในสถานที่ราชการและการปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้นไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติในวันและเวลาทำงานตามปกติ อาจปฏิบัติในวันหยุดราชการหรือนอกเวลาราชการก็ได้ การพิจารณาว่ามีหน้าที่ราชการหรือไม่ มีแนวพิจารณาดังนี้ 1.1 พิจารณาจากกฎหมายหรือระเบียบที่กำหนดหน้าที่ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งใดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในเรื่องใด 1.2 พิจารณาจากมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง ที่ ก.พ.จัดทำ 1.3 พิจารณาจากคำสั่งหรือการมอบหมายของผู้บังคับบัญชา 1.4 พิจารณาจากพฤตินัย ที่สมัครใจเข้าผูกพันตนเอง ยอมรับเป็นหน้าที่ราชการที่ตนต้องรับผิดชอบ เช่น ก.พ. ได้พิจารณาเรื่องประจำแผนกธุรการของโรงพยาบาลซึ่งไม่มีหน้าที่รับส่งเงินแต่ได้รับฝากเงินจากพยาบาลอนามัยผู้มีหน้าที่รับส่งเงิน และการรับฝากเงินนั้นมิใช่รับฝากเงินฐานะส่วนตัว แต่มีลักษณะเป็นการรับฝากเป็นทางราชการเพื่อนำไปส่งลงบัญชีโดยได้เซ็นรับหลังใบเสร็จรับเงินว่า "ได้รับเงินไปแล้ว" เช่นนี้ ก.พ.วินิจฉัยว่าประจำแผนกผู้นั้นมีหน้าที่ราชการที่ต้องนำเงินส่งลงบัญชี เมื่อไม่นำเงินส่งลงบัญชีและนำเงินไปใช้ส่วนตัวถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ 2.ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ "ปฏิบัติหน้าที่ราชการ" หมายความว่า ได้มีการกระทำลงไปแล้ว "ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ" หมายความว่า มีหน้าที่ราชการที่ต้องปฏิบัติแต่ผู้นั้นไม่ปฏิบัติหรืองดเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่ การที่ไม่ปฏิบัติหรืองดเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่นั้นจะเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเป็นการจงใจที่จะไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยปราศจากอำนาจหน้าที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือข้อบังคับ แต่ถ้าเป็นเรื่องปล่อยปละ ละเว้นก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่จะเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการส่วนจะเป็นความผิดฐานใดต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป "มิชอบ" หมายความว่า ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ คำสั่งของผู้บังคับบัญชา มติของคณะรัฐมนตรีแบบธรรมเนียมของราชการหรือทำนองคลองธรรม 3. เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ "ผู้อื่น" หมายถึงใครก็ได้ที่จะได้รับประโยชน์จากการที่ราชการผู้นั้นปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ "ประโยชน์" หมายถึง สิ่งที่ได้รับอันเป็นคุณแก่ผู้ได้รับ ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่มิใช่ทรัพย์สิน เช่น การได้รับบริการ เป็นต้น "มิควรได้" หมายถึง ไม่มีสิทธ์โดยชอบธรรมที่จะได้รับประโยชน์ใด ๆ ตอบแทนจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น 4. โดยมีเจตนาทุจริต การพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาลงไปถึงเจตนาของผู้กระทำด้วยว่ามีเจตนาทุจริตหรือมีจิตอันชั่วร้ายคิดเป็นโจร ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมุ่งที่จะให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ซึ่งหากการสอบสวนพิจารณาได้ว่า ข้าราชการผู้อื่นใดกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2536 ว่าการลงโทษผู้กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ซึ่งควรลงโทษเป็น ไล่ออกจากราชการ การนำเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืนหรือมีเหตุอันควรปราณีอื่นใดไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษ ตามนัยหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร.0205/ว.234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 รวมทั้งอาจจะถูกยึดทรัพย์และดำเนินคดีอาญา เนื่องจากเป็นความผิดมูลฐาน ตามมาตรา 3(5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หากข้าราชการผู้ใดกระทำผิดวินัยฐานทุจริตก็จะต้องถูกลงโทษไล่ออกสถานเดียว รวมทั้งอาจจำคุกและยึดทรัพย์ ดังนั้น ข้าราชการทุกคนควรพึงละเว้นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการโดยเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ให้สมกับการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาการละเว้นการปฏิบัติงานซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อพี่น้องประชาชนทั้งทางอ้อมและทางตรง ทำให้ผลประโยชน์ไม่ตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินงานให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้เพื่อให้องค์กรเป็นหน่วยงานในการปฏิบัติงานตามภารกิจให้เกิดผลตามเป้าประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ความสำเร็จหรือล้มเหลวของปฏิบัติงานตามภารกิจใด ๆ ก็ตาม ขึ้นอยู่กับการบริหารงาน กล่าวคือการบริหารงานที่ดีจะช่วยให้การดำเนินงานตามโครงการมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงาน และในทางตรงข้ามแม้ว่าการปฏิบัติงานตามภารกิจนั้น ๆ จะออกแบบไว้ดี มีความเป็นไปได้ทางเทคนิค งบประมาณ และเงื่อนไขอื่นใดในระดับสูงก็ตามแต่ถ้าการบริหารจัดการไม่ดี การปฏิบัติงานตามภารกิจนั้นก็ไม่สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ องค์การบริหารส่วนตำบลได้กำหนดมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ดังนี้ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 - หมวด 5 การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน มาตรา 29 ในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนหรือการติดต่อประสานงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน ให้ส่วนราชการแต่ละแห่งจัดทำแผนภูมิขั้นตอนและระยะเวลาการดำเนินการรวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนเปิดเผยไว้ ณ ที่ทำการของส่วนราชการและในระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการ เพื่อให้ประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจดูได้ - หมวด 6 การปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ มาตรา 33 ให้ส่วนราชการจัดให้มีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ โดยคำนึงถึงแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายของคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณของประเทศ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์อื่นประกอบกัน - หมวด 7 การอำนวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาขนมาตรา 37 ในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนหรือติดต่อประสานงานในระหว่างส่วนราชการด้วยกัน ให้ส่วนราชการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานแต่ละงานและประกาศให้ประชาชนและข้าราชการทราบเป็นการทั่วไป ส่วนราชการใดมิได้กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานใดและ ก.พ.ร. พิจารณาเห็นว่างานนั้น มีลักษณะที่สามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จได้ หรือส่วนราชการได้กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จไว้ แต่ ก.พ.ร. เห็นว่าเป็นระยะเวลาที่ล่าช้าเกินสมควร ก.พ.ร. จะกำหนดเวลาแล้วเสร็จให้ส่วนราชการนั้นต้องปฏิบัติก็ได้ มาตรา 42 เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความสะดวกรวดเร็ว ให้ส่วนราชการที่มีอำนาจออกกฎระเบียบ ข้อบังคับหรือประกาศ เพื่อใช้บังคับกับส่วนราชการอื่น มีหน้าที่ตรวจสอบว่ากฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศนั้น เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความยุ่งยาก ซ้ำซ้อน หรือความล่าช้า ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการอื่นหรือไม่ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมโดยเร็วต่อไป มาตรา 43 การปฏิบัติราชการในเรื่องใด ๆ โดยปกติให้ถือว่าเป็นเรื่องเปิดเผย เว้นแต่กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล จึงให้กำหนดเป็นความลับได้เท่าที่จำเป็น - หมวด 8 การประเมินผลการปฏิบัติราชการ มาตรา 45 นอกจากการจัดให้มีการประเมินผลตาม มาตร 9 (3) แล้ว ให้ส่วนราชการจัดให้มีคณะผู้ประเมินอิสระดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ ความคุ้มค่าในภารกิจ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ ก.พ.ร. กำหนด มาตรา 47 ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ให้ส่วนราชการประเมินโดยคำนึงถึงผลการปฏิบัติงานเฉพาะตัวของข้าราชการผู้นั้นในตำแหน่งที่ปฏิบัติ ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่หน่วยงานที่ข้าราชการผู้นั้นสังกัดได้รับจากการปฏิบัติงานของข้าราชการผู้นั้น ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองท้องถิ่นฝ่ายบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ พ.ศ.2558 ข้อ 5 ข้าราชการการเมืองท้องถิ่น มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม เป็นกลางทางการเมือง อำนวยความสะดวกและให้บริหารประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลโดยจะต้องยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก 9 ประการ ดังนี้ 1) ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม 2) การมีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบ 3) การยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน 4) การยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และถูกกฎหมาย 5) การให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไม่เลือกปฏิบัติ 6) การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง 7) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ 8) การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมาหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 9) การยึดมั่นในหลักจรรยาวิชาชีพขององค์การ ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองท้องถิ่นฝ่ายสภาท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ พ.ศ.2558 ข้อ 5 ข้าราชการการเมืองท้องถิ่นมีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม เป็นกลางทางการเมือง อำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนตาม หลักธรรมาภิบาล โดยจะต้องยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก 9 ประการ ดังนี้ 1) ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม 2) การมีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบ 3) การยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน 4) การยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และถูกกฎหมาย 5) การให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไม่เลือกปฏิบัติ 6) การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง 7) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ 8) การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 9) การยึดมั่นในหลักจรรยาวิชาชีพขององค์กร ประมวลจริยธรรมของข้าราชการ องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ พ.ศ.2558 ข้อ 3 ข้าราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ทุกคน มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม เป็นกลางทางการเมือง อำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนตามหลัก ธรรมาภิบาล โดยจะต้องยึดมั่นในค่านิยมหลัก 10 ประการดังนี้ 1) การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2) ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม 3) การมีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบ 4) การยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน 5) การยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และถูกกฎหมาย 6) การให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไม่เลือกปฏิบัติ 7) การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง 8) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ 9) การยึดมั่นในหลักจรรยาวิชาชีพขององค์กร 10) การสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในท้องถิ่นประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดี ร่วมกัน พัฒนาชุมชนให้น่าอยู่คู่คุณธรรมและดูแลสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล ว่าด้วยจรรยาข้าราชการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ ในฐานะเป็นองค์กรที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยมีหน้าที่ในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น การดำเนินการด้านการเงิน การคลัง งบประมาณ การพัสดุ การจัดเก็บรายได้การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารงาน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนวางมาตรฐานการดำเนินงาน จัดการบริการสาธารณะ การศึกษาของท้องถิ่น การบริหารงานบุคคลและพัฒนาบุคลากร รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารงานและตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฉะนั้น เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกของข้าราชการให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความโปร่งใส และเป็นธรรม จึงสมควรให้มีข้อบังคับว่าด้วยจรรยาข้าราชการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ องค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ จึงได้กำหนดข้อบังคับจรรยาข้าราชการองค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์เพื่อเป็นกรอบมาตรฐานในการประพฤติปฏิบัติตนของข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานจ้าง ให้มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของข้าราชการ อันจะทำให้ได้รับการยอมรับเชื่อถือและศรัทธาจากประชาชนทั่วไปไว้ดังนี้ ข้อ 1 ความซื่อสัตย์ และรับผิดชอบ 1.1 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 1.2 ใช้ทรัพยากรขององค์กรอย่างประหยัด และโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ 1.3 ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความรู้ ความสามารถ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ 1.4 รับผิดชอบต่อผลการกระทำของตนเอง และมุ่งมั่น แก้ไขเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ข้อ 2 การมีจิตสำนึกมุ่งบริการและให้คำปรึกษา 2.1 ให้บริการแก่ส่วนราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนอย่างเท่าเทียมกันด้วยความเต็มใจ 2.2 ให้คำปรึกษาแนะนำแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และครบถ้วน ข้อ 3 การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน 3.1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของงาน เพื่อให้เกิดผลดีและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม 3.2 ขยัน อุทิศตน และมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จตามเป้าหมาย 3.3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสามัคคี มีน้ำใจ เพื่อให้บรรลุภารกิจของหน่วยงาน 3.4 พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ข้อ 4 การปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม 4.1 ตัดสินใจบนหลักการ ข้อเท็จจริง เหตุผลเพื่อความยุติธรรม 4.2 ไม่มีอคติในการปฏิบัติหน้าที่ ข้อ 5 การดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง 5.1 วางแผนการดำรงชีวิตอย่างมีเป้าหมาย พร้อมที่จะเผชิญต่อการเปลี่ยนแปลง 5.2 ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า มีเหตุผล และไม่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะของตนเอง 5.3 ปฏิบัติตามหลักศาสนา รู้จักพึ่งตนเองและลด ละ เลิกอบายมุข ข้อ 6 การยึดมั่นและยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง 6.1 ยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวมเหนือผลประโยชน์ส่วนตน 6.2 กล้าหาญ และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง 6.3 ปฏิบัติตามหลักคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนข้าราชการ ข้อ 7 ความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ 7.1 เปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในขอบเขตของกฎหมาย 7.2 พร้อมรับการตรวจสอบ และรับผิดชอบต่อผลของการตรวจสอบ มาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรม พนักงานส่วนตำบลและพนักงานจ้างขององค์การบริหารส่วนตำบลขุนพิทักษ์ อนุสนธิสัญญาทางคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) ได้กำหนดมาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรมของข้าราชการ พนักงานส่วนตำบล และพนักงานจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้ประมวลขึ้นจากข้อเสนอแนะของผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นหลักการและแนวทางปฏิบัติให้ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นโดยทั่วไปใช้ยึดถือปฏิบัติเป็นเครื่องกำกับความประพฤติ ดังนี้ 1. พึงดำรงตนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ และมีความรับผิดชอบ 2. พึงปฏิบัติหน้าที่อย่างเปิดเผย โปร่งใส พร้อมให้ตรวจสอบ 3. พึงให้บริการด้วยความเสมอภาค สะดวก รวดเร็ว มีอัธยาศัยไมตรี โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก 4. พึงปฏิบัติหน้าที่โดยยึดผลสัมฤทธิ์ของงานอย่างคุ้มค่า 5. พึงพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ และตนเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ 6. พึงมีจรรยาบรรณต่อตนเอง 7. พึงมีจรรยาบรรณต่อหน่วยงาน 8. พึงมีจรรยาบรรณต่อผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงาน 9. พึงมีจรรยาบรรณต่อประชาชนและสังคม พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มุ่งเน้นการประเมินความโปร่งใสของหน่วยงานของรัฐใน 3 มิติ คือ มิติการเปิดเผยและการตรวจสอบได้มิติการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและมิติของการดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ในลักษณะของการจัดเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลข่าวสาร เอกสาร หลักฐานและระดับการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นส่วนที่สนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐได้มีการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลข่าวสารเพื่อรองรับการประเมินผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ อันจะส่งให้การพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดินและการใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ของภาครัฐและประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและมีความสอดคล้องกับนโยบายการบริหารของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากทางราชการและสื่อสาธารณะอื่นได้อย่างกว้างขวาง ถูกต้อง เป็นธรรม และรวดเร็ว มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐ มีความสำคัญ ต่อการบริหารจัดการที่มีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ โดยเป็นกระบวนการที่หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการเพื่อยกระดับมาตรฐานการ ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตสามารถเปิดเผยและตรวจสอบได้จากทุกฝ่ายรวมทั้งการให้ การบริการแก่ประชาชนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและมีมาตรฐานเป็นหนึ่งเดียวมาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดภายใต้ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มีประโยชน์ทั้งต่อภาคประชาชน และหน่วยงานภาครัฐ ดังนี้ ประโยชน์ต่อภาคประชาชน 1) ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการับบริการดานข้อมูล ข่าวสารและกระบวนการทำงานอื่น ๆ จากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ 2) สามารถรับทราบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการได้อย่าง ถูกต้องและรวดเร็ว 3) สามารถตรวจสอบข้อมูลข่าวสารและกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐได้ 4) มีความเข้าใจและมีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลและสังคม 5) สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ของ หน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะการใช้ช่องทางผ่าน พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐ 1) มีข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติงานที่กำหนด ภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 2) มีแนวทางในการบริหารจัดการภายในองค์กรที่สอดคล้องกับความโปร่งใสที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการดำเนินการที่สามารถเปิดเผยและตรวจสอบได้ทั้งในเชิงข้อมูลและกระบวนการ 3) มีหลักเกณฑ์มาตรฐาน ตัวชี้วัด แนวทางการประเมินผลและสามารถใช้เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นตัวแบบในการประเมินตนเอง ภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 4) หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใส เป็นแบบประเมินเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการตรวจประเมินของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจประเมินตามกฎหมายหรือเพื่อกิจการอื่น 5) ได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากทางราชการและสามารถพัฒนาระบบกลไกในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง เป็นธรรมและรวดเร็ว มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย เกณฑ์มาตรฐานมีความครอบคลุมแนวคิด และกระบวนการปฏิบัติงานที่แสดงถึงความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารการมีส่วนร่วมของประชาชนและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใส การส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนและกระบวนการบริหารจัดการของภาครัฐ โดยมีตัวชี้วัดมาตรฐานความโปร่งใสด้าน การบริหารงาน 5 ประการ ได้แก่ 1. การจัดทำและเผยแพร่โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน 2. การจัดทำวิสัยทัศน์พันธกิจและแผนปฏิบัติการประจำปีของหน่วยงาน 3. การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการปฏิบัติงานของหน่วยงาน 4. การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปี 5. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการของหน่วยงาน มาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสด้านการให้บริการแก่ประชาชน มาตรฐานความโปร่งใสด้านการให้บริการแก่ประชาชน เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำหน้าที่โดย ความซื่อสัตย์สุจริตไม่มีการเลือกปฏิบัติและการขจัดข้อโต้แย้งที่ไม่เป็นธรรมโดยเป็น การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการให้บริการการเลือกใช้ช่องทางการให้บริการรวมไปถึงการประเมินความพึงพอใจของประชาชน โดยมี ตัวชี้วัดมาตรฐานความโปร่งใสด้านการให้บริการแก่ประชาชน 6 ประการ ได้แก่ 1. การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการให้บริการแก่ประชาชน 2. การให้บริการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ 3. การเลือกใช้ช่องทางการให้บริการที่เหมาะสมกับการให้บริการ 4. การจัดให้มีช่องทางและกลไกในการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนของประชาชน 5. การประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ 6. การจัดทำระบบข้อมูลทางสถิติและสรุปผลการให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเปิดเผย การตรวจสอบได้และการส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของภาคประชาชนตามเจตนารมณ์ ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 การประเมินการประเมินความสมบูรณ์ของขั้นตอนและการปฏิบัติงานของหน่วยงานโดยพิจารณาจากระดับความสมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสารและขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในเชิงคุณภาพที่มีความก้าวหน้าในด้านข้อมูลข่าวสาร หลักฐานและความสามารถในการปฏิบัติงานที่มีคุณภาพมาตรฐานและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น การปฏิบัติงานที่มีมาตรฐานและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น โดยมีการวัดค่าของความสมบูรณ์ของกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงาน มีมาตรฐานความโปร่งใสด้านการติดตามและประเมินผล เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการเปิดเผยให้เห็นถึงระบบการติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพโดยเป็น การกำหนดหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดสำหรับการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในของหน่วยงานการจัดให้มีกลไกการตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกที่มีความเป็นอิสระการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตาม และประเมินผลการทำงานของหน่วยงานภาครัฐโดยมีตัวชี้วัดมาตรฐานความโปร่งใส ด้านการติดตามและประเมินผล 5 ประการได้แก่ 1. การจัดทำหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงาน 2. การจัดให้มีระบบและกลไกการตรวจสอบภายใน (Internal Audit) ที่เหมาะสม 3. การจัดให้มีระบบและกลไกการปฏิบัติการเพื่อรองรับการตรวจประเมินจากหน่วยงานภายนอก (External Audit) ที่เป็นอิสระ 4. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงาน 5. การรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานตามแผนปฏิบัติการประจำปีมาตรฐานความโปร่งใสด้านการเปิดเผยและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ เป็นมาตรฐานในการเปิดเผยและการส่งเสริมสิทธิการเข้าถึงการรับรู้ ข้อมูลข่าวสารของราชการการจัดระบบและช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการพัฒนาศักยภาพของระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารความโปร่งใสและการจัดการความรู้ของหน่วยงานซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 กลไกลการาตรวจสอบภายในเป็นเครื่องมือในการติดตามและประเมินผล วิธีการประเมิน พิจารณาจากการปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการประจำปีของหน่วยงานที่มีความสอดคล้องกับแผนงาน งบประมาณความรับผิดชอบและระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการประจำปี และพิจารณาผลการปฏิบัติการของหน่วยงานเกณฑ์มาตรฐานการประเมิน 1. มีการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลและส่วนงานภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ตามแผนปฏิบัติการประจำปี 2. มีการปฏิบัติหน้าที่ตามแผนปฏิบัติการประจำปีภายใต้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการประจำปี 3. มีการประเมินการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละส่วนงานภายใน หน่วยงาน โดยพิจารณาจากผลการนำแผนปฏิบัติการประจำปีของหน่วยงานไปปฏิบัติในแต่ละช่วงเวลา หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติของหน่วยงาน หมายถึง การที่บุคลากรและหน่วยงานได้มีการให้บริการแก่ประชาชนตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติซึ่งเป็นการให้บริการตามแนวทางและระบบที่หลากหลาย เช่น การบริการตามลำดับก่อน-หลัง หรือการให้การบริการที่เหมาะสมกับภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และถูกต้องแก่ประชาชนผู้มารับบริการ วิธีการประเมิน จากการให้บริการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่หน่วยงานกำหนดไว้ว่ามีหรือไม่มีการให้บริการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไรและพิจารณาจากความหลากหลายในการให้บริการแก่ประชาชนเกณฑ์มาตรฐานการประเมิน 1. มีการให้การบริการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ 2. มีการให้การบริการภายในระยะเวลาที่กำหนด 3. มีการให้บริการเรียงตามลำดับก่อน - หลัง การที่หน่วยงานได้มีการกำหนดและดำเนินการเพื่อพัฒนา ระบบการให้คุณให้โทษและการจัดทำกิจกรรมการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรภายในหน่วยงาน โดยเป็นการกำหนดรูปแบบและเกณฑ์มาตรฐานในการพิจารณาให้โทษแก่บุคลากรที่กระทำความผิดตามกฎระเบียบของราชการและจริยธรรมของหน่วยงานรวมทั้งการสนับสนุนและให้รางวัลแก่บุคลากรที่มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม วิธีการประเมินพิจารณาจากการกำหนดและดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบการให้ คุณ ให้โทษ และการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรในหน่วยงาน และพิจารณาจากขั้นตอนและกระบวนการพัฒนาระบบการ ให้คุณ/ให้โทษแก่บุคลากรในหน่วยงาน สำหรับการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในภาพรวม เพื่อให้มีติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรภายในหน่วยงานและเพื่อพัฒนาระบบ การติดตามและประเมินผลของหน่วยงานโดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดที่ สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพ/ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของหน่วยงานรวมทั้งมีการกำหนดวิธีการประเมินผลตามหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้และมีการเผยแพร่ หลักเกณฑ์ตัวชี้วัดและวิธีการประเมินให้บุคลากร/สาธารณชนได้รับทราบ การจัดทำรายงานผลการติดตามประเมินผลการทำงานของหน่วยงาน เกณฑ์มาตรฐานการประเมิน 1. มีการจัดแผนงานกิจกรรม/โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการติดตามและประเมินผลการทำงานของหน่วยงาน เช่น การจัดเวทีประชาคม/สาธารณะ 2. มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่มาจากภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามและประเมินผลการทำงานของหน่วยงาน กำหนดไว้โดยจะต้องมีการเผยแพร่ผลการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานให้เป็นที่รับทราบโดยทั่วไป วิธีการประเมิน พิจารณาจากการจัดทำรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานตามแผน ปฏิบัติการประจำปีของหน่วยงาน 1. พิจารณาจากช่องทางในการเผยแพร่ผลการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงาน การจัดทำรายงานผลการประเมินการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปีพร้อมทั้งวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการประจำปี 2. มีการเผยแพร่ผลการประเมินการปฏิบัติงานตามแผนปฏิบัติการประจำปีให้เป็นที่รับรู้ของบุคคลทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงาน และทางเว็บไซต์ของหน่วยงานหลักฐานประกอบการตรวจสอบ/ข้อมูลที่ต้องการ มาตรการควบคุมการปฏิบัติงาน การควบคุม หมายถึง กระบวนการที่กระทำให้มั่นใจว่าการปฏิบัติงานได้ดำเนินการไปตามแผนที่กำหนดไว้ หรือถ้าจะให้ความหมายที่ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของผู้ควบคุมชัดเจนขึ้นก็หมายถึง การบังคับให้กิจกรรมต่างๆ เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเมื่อมีการศึกษาผลการปฏิบัติงานตามแผนปรากฏว่าไม่เป็นไปตามทิศทาง กรอบ หรือข้อกำหนดที่วางไว้ ผู้ควบคุมหรือผู้บริหารจะต้องดำเนินการอย่างหนึ่งจะแก้ไขปรับปรุงให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนดังกล่าว มิฉะนั้นแล้วแผนก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การควบคุมอาจแบ่งตามลักษณะของสิ่งที่ถูกควบคุมออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน คือ 1. การควบคุมผลการปฏิบัติงาน (Product Control) เป็นการควบคุมผลผลิตของโครงการเพื่อจัดการให้โครงการผลิตได้ปริมาณตามที่กำหนดไว้ในแผน เรียกว่า การควบคุมปริมาณ (Quantity Control) และควบคุมให้ผลผลิตที่ได้มีลักษณะและคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้เรียกว่าการควบคุม คุณภาพ (Quality Control) การควบคุมในข้อนี้รวมถึงการควบคุมเวลาของโครงการด้วย คือการควบคุมให้โครงการสามารถผลิตผลงานได้ปริมาณและคุณภาพตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ 2. การควบคุมบุคลากร (Personal of Staff Control) เป็นการควบคุมพฤติกรรมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโครงการ โดยควบคุมให้ปฏิบัติงานตามวิธีที่กำหนดไว้และให้เป็นไปตามกำหนดการโครงการ ควบคุมและบำรุงขวัญพนักงาน ความประพฤติ ความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบตลอดจนควบคุมด้านความปลอดภัยของพนักงานด้วย 3. การควบคุมด้านการเงิน (Financial Control) ได้แก่ การควบคุมการใช้จ่าย (Cost - Control) การควบคุมทางด้านงบประมาณ (Budget Control) ตลอดจนการควบคุมทางด้านบัญชีต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้โครงการเสียค่าใช้จ่ายต่ำสุด และมีเหตุผลเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม 4. การควบคุมทรัพยากรทางกายภาพ (Control of Physical Resources) ได้แก่ การควบคุมการใช้จ่ายทรัพยากรประเภทวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ อาคารและที่ดินตลอดจนแรงงานในการเป็นปัจจัยนำเข้าของโครงการเพื่อให้เกิดการประหยัดในการใช้ทรัพยากรดังกล่าว 5. การควบคุมเทคนิควิธีการปฏิบัติงาน (Control of Techniques or Procedure) ได้แก่ การควบคุมกำกับดูแลเทคนิคและวิธีการปฏิบัติงานให้ถูกต้องตามหลักวิชาที่กำหนดไว้ สำหรับการปฏิบัติงานประเภทนั้น ๆ โดยจะต้องควบคุมทั้งเทคนิควิธีที่มองเห็นและเข้าใจง่าย เช่น โครงการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม การส่งเสริมประชาธิปไตย หรือโครงการพัฒนาชนบท เป็นต้น ความสำคัญของการติดตามและการควบคุม ความสำคัญ ความจำเป็น และประโยชน์ของการติดตามและการควบคุมนั้น อาจพิจารณาได้จากประเด็นต่อไปนี้ 1. เพื่อให้แผนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ประโยชน์ในข้อนี้นับว่าเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการติดตามและการควบคุมโครงการ ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์และเป้าหมายถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ หากไม่มีการยึดเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นหลักแล้ว เราก็ไม่ทราบว่าจะทำโครงการนี้ไปทำไม เมื่อเป็นเช่นนี้ การติดตามและควบคุมการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่จะช่วยประคับประคองให้โครงการบรรลุสิ่งที่มุ่งหวังดังกล่าวจึงถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งของผู้บริหารโครงการ 2. ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ผู้บริหารที่ดีจะต้องควบคุมเวลาและค่าใช่จ่ายของโครงการโดยการเสนอแนะเทคนิควิธีการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพให้ซึ่งจะสามารถลดเวลาและค่าใช้จ่ายของโครงการลงไปได้มาก ทำให้สามารถนำทรัพยากรที่ลดลงไปใช้ประโยชน์กับโครงการอื่น หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ได้ 3. ช่วยกระตุ้น จูงใจ และสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน การติดตามควบคุมนั้นไม่ใช่เป็นการจับผิดเพื่อลงโทษ แต่เป็นการแนะนำช่วยเหลือโดยคำนึงถึงผลสำเร็จของโครงการเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นผู้นิเทศงานและผู้ควบคุมงานที่ดีมักจะได้รับการต้อนรับจากผู้ปฏิบัติงาน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกกระตือรือร้น เพราะมีพี่เลี้ยงมาช่วยแนะนำ ช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง ขวัญกำลังใจที่จะปฏิบัติงานต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ก็จะมีมากขึ้น 4. ช่วยป้องกันและความเสียหายรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โครงการบางโครงการถ้ามีการควบคุมไม่ดีพออาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงได้ และหากพบความเสียนั้นแต่ต้นลักษณะของเหตุการณ์ที่เรียกว่า "สายเกินแก้" ก็จะไม่เกิดขึ้น 5. ทำให้พบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเนื่องมาจากโครงการนั้น ทั้งนี้ในขณะที่ทำการติดตามและควบคุมนั้น ผู้บริหารจะมองเห็นปัญหาอันเป็นผลกระทบต่าง ๆ ของโครงการหลายประการ จึงจะสามารถจัดหามาตรการในการป้องกันแก้ไขได้อย่างถูกต้อง เช่น โครงการสร้างถนนเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร อาจก่อให้เกิดปัญหาการลักลอบตัดไม้เถื่อนโดยใช้ถนนสายนั้นเป็นเส้นทางขนส่ง เป็นต้น 6. ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เห็นเป้าหมายวัตถุประสงค์หรือมาตรฐานของงานได้ชัดเจนขึ้น โดยปกติโครงการต่าง ๆ มักจะกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายไว้อย่างหลวม ๆ หรือใช้คำที่ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมสูง เช่น คำว่าพัฒนา ขยาย ปรับปรุง กระตุ้น ยกระดับ ฯลฯ ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงาน หรือแม้กระทั่งผู้บริหารมองไม่เห็นเป้าหมายได้ชัดเจน ไม่อาจปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายที่ถูกต้องได้ เมื่อมีการติดตามและควบคุมโครงการจะต้องมีการทำให้วัตถุประสงค์และเป้าหมายรวมทั้งมาตรฐานต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น เพื่อจะได้สามารถเปรียบเทียบและทำการควบคุมได้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า การติดตามและการควบคุมเป็นเครื่องมือสำคัญของกระบวนการบริหารและกระบวนการวางแผน ทำให้การดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ นโยบายที่กำหนดไว้การติดตามและการควบคุมนั้นเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน มักจะใช้ควบคู่กันไม่ได้มีการแยกกันอย่างอิสระ กล่าวคือเมื่อมีการติดตามดูผลการทำงานว่าเป็นอย่างไรแล้ว ก็ต้องมีการควบคุมเพื่อปรับปรุงปฏิบัติงานดังกล่าวให้ไปสู่ทิศทางที่ต้องการ และในทางกลับกันใครหรือหน่วยงานใดก็ตามที่จะทำหน้าที่ควบคุมก็ต้องมีการติดตามก่อนเสมอ มิฉะนั้นก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ********************************